กรุงเทพฯ – ประเทศไทย : วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก ระบุการชำระเงินแบบคอนแทคเลสในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง เผยมียอดใช้บริการแตะเพื่อจ่ายผ่านบัตรวีซ่าถึง 3.8 ล้านครั้งในเดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมาซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา[1]
โดย 5 อันดับประเภทร้านค้า-บริการยอดนิยมที่ผู้บริโภคชาวไทยเลือกแตะเพื่อจ่ายผ่านบัตรวีซ่า คือ ได้แก่ สถานีเติมน้ำมัน ร้านค้าของชำ ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ร้านอาหาร และบริการคมนาคมขนส่ง
สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบันกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้การชำระเงินในรูปแบบคอนแทคเลสมากขึ้น และในอัตราที่เร็วขึ้น การชำระเงินแบบคอนแทคเลสนำมาใช้ครั้งแรกในประเทศไทยใน พ.ศ. 2551 และมียอดผู้ใช้บริการแตะเพื่อจ่ายถึง 2 ล้านครั้งเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2563[1] นับจากนั้นเราได้เห็นอัตราการใช้งานอย่างก้าวกระโดด เพราะการชำระเงินแบบคอนแทคเลสนั้นช่วยให้ผู้บริโภค และร้านค้ามีช่องทางการชำระ และรับชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางการแพร่ระบาดในครั้งนี้
จากการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า (Visa Consumer Payment Attitudes Study)[2] เกือบ7 ใน 10 ของผู้บริโภคชาวไทย หรือราว 68 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าประโยชน์ลำดับต้นๆ ของการชำระเงินในรูปแบบคอนแทคเลสคือพวกเขารู้สึกปลอดภัยจาก COVID-19 มากขึ้น และเกือบ 1 ใน 4 หรือราว 23 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคชาวไทยเริ่มชำระเงินในรูปแบบคอนแทคเลสผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรเติมเงิน เป็นครั้งแรกหลังจากเกิดการระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19
“วีซ่า มุ่งผลักดันให้เกิดการใช้งาน และเพิ่มจำนวนจุดรับชำระผ่านระบบคอนแทคเลสให้ครอบคลุม และทั่วถึง เราจินตนาการถึงเมืองที่ประชาชนคนไทยสามารถใช้ระบบขนส่งสาธารณะ หรือซื้อน้ำเปล่าในร้านสะดวกซื้อได้โดยไม่ต้องลำบากในการหาเศษเหรียญ หรือแลกเปลี่ยนธนบัตรกันอีกต่อไป และนี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่จับต้องได้จริงในชีวิตประจำวัน และสะท้อนให้เห็นว่านวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจ และเศรษฐกิจของประเทศดำเนินต่อไปได้” สุริพงษ์ กล่าวสรุป
[1] ข้อมูล VisaNet เปรียบเทียบระหว่างเดือนมิถุนายน 2564 และ เดือนมิถุนายน 2563
2 ข้อมูล VisaNet เดือนกันยายน 2563
3 การศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปี 2563 ของวีซ่า ซึ่งจัดทำโดย CLEAR ในนามของวีซ่าเมื่อเดือนกันยายน 2563 ในแปดประเทศทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม กับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 7,500 คน รวมทั้งผู้บริโภคในประเทศไทยจำนวน 1,000 ราย ที่มีอายุระหว่าง 18-65 ปี ครอบคลุมทุกระดับการศึกษา และมีรายได้ขั้นต่ำต่อคนที่ 15,000 บาท