สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดเวทีถอดบทเรียนการทรุดตัวของเจดีย์วัดศรีสุพรรณ นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากงานวิจัยยกระดับการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ และแก้ปัญหาการอนุรักษ์โบราณสถานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน พร้อมเดินหน้าผลักดันการอนุรักษ์โครงสร้างโบราณสถานบนฐาน ววน. เป็นวาระแห่งชาติ
รศ. ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดงานเสวนา “การรับมือภัยพิบัติเพื่ออนุรักษ์โบราณสถาน ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ณ ห้องประชุม สกสว. เพื่อรายงานสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มความเสียหายของโบราณสถานสำคัญในประเทศไทยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมถึงการใช้ความรู้และเทคโนโลยีในการสำรวจและอนุรักษ์โบราณสถาน ตลอดจนการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในการเตรียมพร้อมรับมือและแก้ปัญหาการอนุรักษ์โบราณสถานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รศ. ดร.ปัทมาวดี กล่าวว่า หลังการทรุดตัวของเจดีย์วัดศรีสุพรรณ จังหวัดเชียงใหม่ จึงจำเป็นต้องถอดบทเรียนการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อโบราณสถาน ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ควรอยู่ในแผนงานปรับตัวเพื่อรองรับภัยพิบัติ หรือแผนงานด้านศิลปวัฒนธรรมของแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) นั่นคือ การวางแผนอนุรักษ์และบำรุงรักษาโบราณสถานที่มีผลกระทบตามความสำคัญเร่งด่วนโดยใช้ ววน. อีกทั้งเตรียมองค์ความรู้และข้อมูลในการวางแผนการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติและการอนุรักษ์โบราณสถานสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
ทินกร ทาทอง ผู้อำนวยการกองธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรธรณีวิทยา กล่าวถึงการเฝ้าระวังสถานการณ์ดินถล่มในพื้นที่ภาคเหนือว่าจังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มหลายแห่ง แม้วัดศรีสุพรรณจะอยู่นอกพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม แต่เกิดถล่มในช่วงฝนตกหนัก โดยมีรอยร้าวเกิดขึ้นนานแล้วและพระธาตุเอียง ส่วนใหญ่เกิดจากการทรุดตัวไม่เท่ากันของพื้นดิน และมีฝนตกหนักเป็นตัวกระตุ้น เพราะในอดีตไม่ได้ตอกเสาเข็ม คุณสมบัติของดินและการรับน้ำหนักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อชุ่มน้ำ ทั้งนี้กรมทรัพยากรธรณีได้จัดทำแผนที่ชี้เป้าเสี่ยงภัย สร้างความรู้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้หลีกเลี่ยงเมื่อมีสิ่งบอกเหตุและมีเวลาเตรียมตัวหนี การทำแผนอพยพ การตั้งศูนย์ธรณีพิบัติภัยเพื่อเฝ้าระวัง น้ำท่วมและดินถล่มมักจะเกิดในช่วงเดือนกันยายนโดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นอกจากนี้ยังอนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์และแหล่งมรดกทางธรณี เช่น ซ่อมแซมถ้ำนาคา อนุรักษ์ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ โดยใช้วิทยาศาสตร์ในการตอบโจทย์ที่สามารถพิสูจน์ได้
ศ. ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระบุว่าแผ่นดินไหวเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำลายโบราณสถาน นักวิจัยได้นำข้อมูลแผ่นดินไหวมาแปลงเป็นแผนที่เสี่ยงภัยและเทียบกับแผนที่เสี่ยงภัยของต่างประเทศ เพื่อหามาตรการรองรับที่เหมาะสม ทั้งนี้โบราณสถานส่วนใหญ่มีโครงสร้างเป็นอิฐก่อที่อ่อนแอกว่าคอนกรีตเสริมเหล็ก ถ้าเสริมกำลังจะช่วยลดความเสียหายจากแผ่นดินไหวได้ ปัจจุบันคณะนักวิจัยได้พัฒนาแบบจำลองเมืองเชียงใหม่และเชียงรายเพื่อประเมินผลกระทบและความเสียหายจากภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งจะนำข้อมูลความเสี่ยงแผ่นดินไหว ธรณีวิทยา ตำแหน่งและความอ่อนแอของสิ่งปลูกสร้างมาวิเคราะห์คำนวณความเสียหาย เพื่อวางแผนรับมือและมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความสูญเสีย
ด้าน ศ. ดร.นคร ภู่วโรดม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อบันทึกข้อมูล ตรวจสอบสภาพและประเมินความมั่นคงของโบราณสถาน ว่าจำเป็นต้องบันทึกข้อมูลที่ถูกต้องทั้งในอดีตและปัจจุบันเกี่ยวกับรอยร้าวต่าง ๆ และติดตามการขยายตัวของรอยร้าว รวมถึงแผนอนุรักษ์บำรุงรักษาตามหลักวิศวกรรม โดยนักวิจัยได้นำข้อมูลสามมิติที่สำรวจได้ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอยุธยามาจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัล เพื่อบำรุงรักษาและป้องกันส่วนที่ยังมีสภาพดี เสริมความมั่นคงให้กับส่วนที่เสื่อมสภาพ รวมถึงการซ่อมแซม สร้างทดแทนส่วนที่ชำรุด
สำหรับแนวทางการสนับสนุนการอนุรักษ์โบราณสถานจะต้องมีเจ้าของที่มีความรับผิดชอบเต็ม รวมถึงบทบาทของยูเนสโกต่อมรดกโลกบนฐานวิทยาศาสตร์ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่อนุรักษ์ความแท้และดั้งเดิมตามหลักโบราณคดีจึงจำเป็นต้องสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัย พร้อมกับสร้างจิตสำนึกของการอนุรักษ์โบราณสถานแก่ชุมชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน และสร้างเรื่องราวความน่าสนใจให้กับโบราณสถาน
ผศ. ดร.กฤษฎา ไชยสาร กล่าวเสริมว่าการใช้โดรนเก็บข้อมูลและสร้างโมเดลสามมิติสามารถสร้างแผนภาพพื้นผิวความละเอียดสูงเพื่อนำไปต่อยอดตรวจสอบความเสียหายหรือเฝ้าระวังได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอตรวจจับรอยร้าวและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติโดยไม่ใช้คน สามารถตรวจสอบได้เป็นระยะ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย มีความถูกต้องและแม่นยำสูงกว่าร้อยละ 90 ซึ่งสามารถนำผลลัพธ์ไปขยายผลเพื่อวางแผนหรือประเมินราคาวัสดุที่ต้องใช้ในการบูรณะ
ศ. ดร.อมร พิมานมาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เผยว่าได้วิเคราะห์โครงสร้างโบราณสถานด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สร้างแบบจำลองไฟไนต์เอลิเมนต์ 3 มิติ และศึกษาการก่อสร้างในพื้นที่ดินอ่อนที่เสี่ยงต่อการทรุดตัวและการเอียงตัวของโครงสร้าง ทั้งยังมีศักยภาพที่จะขยายความรุนแรงของคลื่นแผ่นดินไหว โดยวิเคราะห์โครงสร้างแทนแรงแผ่นดินไหวด้วยกราฟสเปกตรัมตอบสนองเชิงอัตราเร่ง ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดของ มยผ. 1302 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว รวมถึงศึกษาการกระจายหน่วยแรง ความเครียด และกลไกการรับน้ำหนักของโครงสร้างโบราณสถาน เพื่อระบุตำแหน่งวิกฤตภายในโครงสร้างที่อาจจะลุกลามไปจุดอื่น ๆ ซึ่งจะต้องหาแนวทางการเสริมกำลังในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อัดฉีดน้ำปูน เสริมเหล็ก เสริมโครงสร้างด้านใน ปรับปรุงคุณสมบัติของดินและอิฐชั้นฐาน ทั้งนี้ต้องมีระบบเตือนภัย วิจัยและทดลองโดยให้ความสำคัญกับการตรวจจับและเสริมกำลังเจดีย์ ซึ่งจะต้องบูรณาการความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ธนภูมิ อัตตฤทธิ์ วิศวกรโยธาชำนาญการ สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร เผยถึงการใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีในการอนุรักษ์โบราณสถาน อาทิ Photogrammetry เก็บข้อมูลเชิง 3 มิติ โดยประมวลผลภาพถ่ายของวัตถุ รวมทั้งข้อมูลด้านการอนุรักษ์ แบบรูปสภาพปัจจุบันและรายละเอียดของโบราณสถาน ทำให้ได้ภาพออกมา 3 แบบ คือ ภาพ 3 มติ ภาพแบบมวล และภาพ point cloud ซึ่งสามารถเลือกภาพไปใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ ขณะที่ทีมนักวิทยาศาสตร์จากกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และทีมภัณฑารักษ์ จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ ร่วมกันดำเนินการจัดทำทะเบียน อนุรักษ์สภาพโบราณวัตถุ และทำการตรวจองค์ประกอบของธาตุภายในเนื้อโลหะ (XRF) ของโบราณวัตถุเพื่อจำแนกประเภท อายุสมัยของโบราณวัตถุ และกำหนดแนวทางอนุรักษ์ในเชิงลึก
สำหรับเจดีย์วัดศรีสุพรรณที่นำมาเป็นบทเรียนในการดูแลรักษา คาดว่าน่าจะผ่านการเกิดแผ่นดินไหวมาแล้วหลายครั้ง ตลอดจนการเสื่อมสภาพของวัสดุ สภาพภูมิอากาศ การกัดเซาะของน้ำฝนจากการรั่วซึม วัชพืชหรือต้นไม้ ทั้งนี้เห็นด้วยว่าจะต้องบันทึกข้อมูลรอยร้าวที่มีผลต่อโครงสร้างเพื่อวางแผนการบำรุงรักษา กรมศิลปากรยังขาดแคลนบุคลากร หากได้รับความร่วมมือจาก สกสว. และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ช่วยกันสนับสนุน และทำงานเชิงรุกร่วมกันก็ยินดี
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและต้องทำให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยจะต้องร่วมมือกันทั้งในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรมศิลปากร และกรมทรัพยากรธรณี เวทีนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแต่ต้องมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนช่วยกันยกร่างแผน ข้อมูลการจัดเก็บ การถ่ายทอดเทคโนโลยี จัดลำดับความสำคัญและเชื่อมโยงบทบาทของ สกสว. กับหน่วยงานต่าง ๆ สร้างเครือข่ายนักวิชาการที่สนใจเพื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ โดยอาจเสนอเป็นแผนระดับชาติเพื่อให้เห็นภาพใหญ่ และสนับสนุนการวิจัยเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ รัฐมนตรี อว.ให้ความสำคัญกับเรื่องธัชภูมิหรือภูมิปัญญาของพื้นที่ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพื่อสร้างเรื่องราวที่เชื่อมโยงพื้นที่กับภูมิภาค ซึ่งสามารถนำบูรณาการกันได้” ผู้อำนวยการสกสว.กล่าวสรุป