งานT-PLAS 2023 จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ชู 5 ไฮไลท์สำคัญ คาดมีผู้เข้าชมงาน 9,000 คน


กรุงเทพฯ  –  17 สิงหาคม 2566 :  บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จับมือผู้เชี่ยวชาญจากวงการอุตสาหกรรมพลาสติกและยางไทย ร่วมเปิดมุมมองและแนวทางการนำเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากยางและพลาสติกให้เกิดความยั่งยืน เพื่อเสริมแกร่งและยกระดับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมพลาสติกและยางไทยให้เติบโตไกลสู่ตลาดระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ ผ่านงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมพลาสติกและยาง หรือ International Trade Fair for the Plastics and Rubber Industries : T-PLAS 2023 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ในระหว่างวันที่ 20 – 23 กันยายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา  มาพร้อม 5 ไฮไลท์สำคัญของงาน คาดมีผู้สนใจเข้าชมงาน 9,000 คน เป็นผู้เข้าชมงานจากต่างประเทศ 30-35%

เกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย กล่าวว่า การจัดมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติด้านอุตสาหกรรมพลาสติกและยาง หรือ International Trade Fair for the Plastics and Rubber Industries : T-PLAS 2023 ในครั้งนี้มีเป้าหมายในการส่งเสริมอุตสาหกรรมพลาสติกและยางในระดับภูมิภาค และในระดับนานาชาติ เปิดเวทีให้แต่ละองค์กรได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับอุตสาหกรรมพลาสติกและยางไปด้วยกัน โดยเมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย เล็งเห็นถึงศักยภาพของไทยในการเป็นพื้นที่สำคัญของอุตสาหกรรมพลาสติก และยังคงใช้ไทยเป็นแพลตฟอร์มในการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมพลาสติก และอุตสาหกรรมอื่นๆ เข้าด้วยกัน

ภายในงานมีการนำเสนอโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรมครอบคลุมทั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่อัปเดทล่าสุด พร้อมทั้งวัตถุดิบต่าง ๆ ชิ้นส่วนทางเทคนิค ไปจนถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการจากทั้งอุตสาหกรรมพลาสติกและอุตสาหกรรมยาง โดย T-PLAS 2023 ยังเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันดีมานด์ด้านพลาสติกและยางภายในประเทศไทยให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างมูลค่าและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ นอกจากนี้ภายในงานยังส่งเสริมให้โมเดลเศรษฐกิจอย่าง บีซีจี โมเดล มีความชัดเจนมากขึ้นผ่านกิจกรรม และการแสดงนวัตกรรมของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลาสติก

สำหรับไฮไลท์ของงานในปีนี้ ประกอบด้วย   1. มีผู้เข้าร่วมงาน 250 บริษัทจาก 20 ประเทศ  2. มีกลุ่มผู้เข้าชมงานจากประเทศต่างๆ  เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย  อินโดนีเซีย โดยเฉพาะอินเดียเข้าร่วมงานจำนวนมาก  คิดเป็น 30%  ของผู้เข้าชมงานทั้งหมด 3. จัดแสดง Zone Recycling  Solution  4.มีการจัดสัมมนาด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)  ซึ่งภายในงานมีผู้ผลิตด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนหลายราย และ 5. มีการจัดแสดง Show Case เครื่องจักรเป็นครั้งแรก หลังจากที่้ผ่านมามีการจัดแสดงทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว

“งาน  T-PLAS ล่าสุดจัดในปี 2019 ก่อนเกิดวิกฤต COVID-19  ผ่านมา 4 ปีในปี 2023 คาดว่างาน  T-PLAS 2023 จะเติบโตขึ้นจากเดิม 20%  ด้วยอุปสงค์ในการจัดงาน มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าจากออสเตรเลีย จีน เยอรมนี  อิตาลี และไต้หวัน   อีกทั้งยังเป็นการจัดงานครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังจากวิกฤต COVID-19 ทำให้งานเติบโตขึ้น โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าชมงาน 9,000 คน เป็นผู้เข้าชมงานจากต่างประเทศ 30-35%” เกอร์นอท ริงลิ่ง กล่าว

วีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันพลาสติก เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีผู้ผลิตพลาสติก 3,327 ราย  ผลิตพลาสติก 9 ล้านตันต่อปี นำเข้า 2 ล้านตันต่อปี  และส่งออก 5 ล้านตันต่อปี ที่เหลือใช้ภายในประเทศ 6 ล้านตันต่อปี  ทั้งนี้อุตสาหกรรมพลาสติกถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญของไทย โดยเติบโต 1.5 เท่าของ GDP

ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทำให้ทุก ๆ อุตสาหกรรมได้นำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาปรับใช้ รวมถึงพัฒนานวัตกรรมขึ้นใหม่ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค  หนึ่งในนวัตกรรมที่มีความสำคัญและมีผลกระทบเชิงบวกกับธุรกิจอย่างมากก็คือ เทคโนโลยีที่ช่วยรักษาความสมดุลทางสิ่งแวดล้อม และที่สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจแบบบีซีจี (Bioeconomy , Circular , Green) ซึ่งหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่กำลังพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันดังกล่าวก็คือกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก โดยกำลังเร่งปรับตัวทั้งการเปลี่ยนการผลิตแบบเดิม ๆ  การต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งมีมูลค่าสูง และการหาโซลูชันเพื่อให้พลาสติกสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

“จากการดำเนินงานพบว่าผู้ประกอบการพลาสติกรายใหญ่มีการปรับตัวได้ดี และให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อการวิจัย การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต รวมถึงการสร้างสรรค์สินค้านวัตกรรม แต่ในส่วนของผู้ประกอบการรายเล็กยังจำเป็นต้องหาจุดแข็งหรือความเชี่ยวชาญของตนเองให้พบซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ และทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการของตลาด อีกทั้งยังควรหาพาร์ทเนอร์เพื่อสนับสนุนการเดินหน้าทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทเนอร์ด้านการลงทุน หรือพาร์ทเนอร์ที่มีการอัปเดตความรู้อย่างต่อเนื่อง” วีระ กล่าว

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมพลาสติกไทยยังต้องส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมพลาสติกเพิ่มขึ้น พร้อมกับสร้างองค์ความรู้ในสังคมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพทั้งทางด้านเทคโนโลยีการจัดการขยะพลาสติก การใช้งานขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพทั้งกระบวนการ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการใช้พลาสติกอย่างยั่งยืน

วีระ กล่าวว่า ในส่วนของสถาบันพลาสติกมีการส่งเสริมนวัตกรรมในอุตสาหกรรมพลาสติกทั้งการจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณการผลิต ปริมาณการใช้ และปริมาณการก่อขยะขึ้นมา เพื่อให้มีฐานข้อมูลในการอ้างอิงและใช้ประโยชน์ร่วมกัน การพัฒนาพลาสติกชีวภาพ การพัฒนานวัตกรรมเพื่อการคัดแยกขยะพลาสติกสู่กระบวนการรีไซเคิล ซึ่งปัจจุบันไทยสามารถรีไซเคิลพลาสติก 18%  ขณะที่เกาหลีใต้รีไซเคิลได้ 58%  รวมถึงส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำอุปกรณ์เพื่อการลดพลังงาน และลดการสูญเสียจากการผลิตเข้ามาใช้ร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุตสาหกรรมที่มีการนำพลาสติกเข้าไปเป็นส่วนสำคัญทางธุรกิจมากที่สุดก็คืออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่มีมากถึง 40% ของผลิตภัณฑ์จากพลาสติกทั้งหมด และการใช้พลาสติกทางการแพทย์ก็มีการเติบโตเป็นอย่างมากหลังจากพ้นช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา

ด้าน วิบูลย์ พึงประเสริฐ นายกสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพไทย (TBIA) กล่าวว่า พลาสติกชีวภาพเป็นหนึ่งในองค์ประกอบในการสร้างความสำเร็จกับภาคเกษตรกรรมทั้งในระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ สามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงสร้างดีมานด์การใช้ใหม่ในกลุ่มผู้บริโภคได้ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จากการที่ประเทศไทยมีพืชเศรษฐกิจอย่างอ้อย ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ที่สามารถนำน้ำตาลมาแปรรูปเป็นพลาสติกชีวภาพ หรือ ไบโอพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ไทยจึงควรใช้ความได้เปรียบจากการเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบมาส่งเสริมอุตสาหกรรมกลางน้ำ ที่เป็นการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ รวมถึงปลายน้ำ ที่เป็นการใช้เม็ดพลาสติกชีวภาพมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการส่งออกในกลุ่มประเทศที่ผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย ส่งเสริมความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากส่งเสริมได้จะช่วยทั้งในเรื่องมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตพลาสติกที่ต่ำลง และตอกย้ำความเชื่อมั่นในฐานะผู้พัฒนาพลาสติกชั้นนำของโลก

“ประเทศไทยมีการผลิตน้ำตาลจากอ้อยปีละ 10 ล้านตัน  โดยใช้บริโภคเองภายในประเทศ 7 ล้านตัน และส่งออกเป็นอันดับ 2 รองจากบราซิล ซึ่งราคาการส่งออกน้ำตาลเป็นราคาที่ไม่สูงนัก   ปัจจุบันมีโรงงานผลิตพลาสติชีวภาพรวมกำลังการผลิตทั้งหมด  175,000 ตัน ใช้น้ำตาลไม่ถึง 200,000 ตัน  แสดงว่าไทยยังมีน้ำตาลที่สามารถแปรรูปเป็นพลาสติกชีวภาพได้ โดยไม่กระทบต่อการบริโภคตามที่หลายคนกังวลแต่อย่างใด  ซึ่งถ้าได้แปรรูปเป็นพลาสติกชีวภาพราคาจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 10 เท่า ช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรได้เป็นอย่างดี”  วิบูลย์ กล่าว

ปัจจุบันธุรกิจที่มีการนำพลาสติกชีวภาพมาปรับใช้อย่างต่อเนื่องมักจะเป็นธุรกิจร้านอาหารที่จำเป็นต้องใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเมื่อเป็นขยะจะสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติภายใน 6 เดือน โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตตามปกติที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศ และสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ด้านดร.ณัฐไชย นะวิโรจน์ นายกสมาคมไทยคอมโพสิท  กล่าวว่า ปัจจุบันวัสดุคอมโพสิท ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แพร่หลายเพราะมีคุณสมบัติที่หาไม่ได้ในวัสดุอื่น ๆ การผสมระหว่างเรซิ่นและไฟเบอร์เสริมแรงทำให้เกิดวัสดุประเภทใหม่ที่มีความแข็งแรงเหนือกว่าเหล็ก ในขณะเดียวกันมีน้ำหนักที่ใกล้เคียงกับพลาสติก นอกจากนั้นวัสดุคอมโพสิทยังสามารถทนความกัดกร่อนและอุณหภูมิที่สูงได้อีกด้วย ปัจจุบันวัสดุคอมโพสิทถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมและในผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ เรือ เครื่องบิน และสิ่งก่อสร้าง    สำหรับประเทศไทยที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์  วัสดุคอมโพสิทถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากโดยเฉพาะในรถไฟฟ้า (EV)  ซึ่งต้องการน้ำหนักที่เบาเป็นพิเศษ อย่างชิ้นส่วนต่าง ๆเช่น กันชน เคสแบตเตอรี่ ตัวถัง รวมทั้งชิ้นงานประดับด้านใน เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมเรือ ระบบราง และ เครื่องบิน โดยตัวถังของทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์นั้นถ้าต้องการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจะต้องทำจากวัสดุคอมโพสิทเท่านั้น หรือแม้แต่กระทั่งตึกและสะพานที่เก่าลงและจำเป็นที่จะต้องซ่อมแซม การใช้คาร์บอนไฟเบอร์ไปซ่อมแซมโดยไม่ต้องทุบสิ่งก่อสร้างนั้น ก็เป็นวิธีที่ได้การยอมรับและใช้มาเป็นเวลานานแล้ว

งาน T-PLAS 2023 นอกจากจะส่งเสริมผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมพลาสติกและยางของไทยให้เติบโตในระดับนานาชาติอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังนำเสนอมุมมองเศรษฐกิจหมุนเวียนในมิติของพลาสติกและยางที่กำลังเติบโต พร้อมทั้งยังตั้งเป้าหมายสร้างการจับคู่ธุรกิจที่เพิ่มขึ้น กระตุ้นให้เกิดการลงทุนในไทยตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนและการจัดตั้งอุตสาหกรรมของรัฐบาล พร้อมจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20-23 กันยายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save