แพทย์เผย Antibody Cocktail ในกลุ่มภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ NmAbs ช่วยรักษาผู้ป่วย COVID-19 ลดการนอนที่รพ. เริ่มใช้จริงที่สถาบันบำราศนราดูร


กรุงเทพฯ  – ประเทศไทย : จากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมทั้งทางด้านทรัพยากรการรักษาและขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งนี้การรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคและออกจากโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยลดภาระเตียงเต็มที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤตอยู่ในขณะนี้

ยาแอนติบอดี ค็อกเทล (Antibody Cocktail) ที่จัดอยู่ในกลุ่มยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ “Neutralizing Monoclonal Antibodies” (NmAbs)  โดยล่าสุดได้รับการอนุมัติใช้แบบมีเงื่อนไขภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในรายที่เหมาะสมตามการพิจารณาของแพทย์ ซึ่งมีข้อมูลจากผลการทดลองทางคลินิกและข้อมูลการใช้จริงในสหรัฐอเมริกาที่ช่วยลดระยะเวลาการเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้

ศ. นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ความรู้เกี่ยวกับกลุ่มยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์  อย่างเช่น แอนติบอดี ค็อกเทลว่า ยาแอนติบอดี ค็อกเทลเป็นแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนอล (Monoclonal) สองชนิดที่ใช้ควบคู่กัน โดยวิธีหยดยาเข้าทางหลอดเลือดดำในครั้งเดียว (Single Intravenous Infusion) โดยยาดังกล่าวประกอบด้วย แอนติบอดีที่สกัดจากหนู VelocImmune® ซึ่งถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มีระบบภูมิคุ้มกันอย่างมนุษย์ และแอนติบอดีที่สกัดจากผู้ติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งรักษาหายแล้ว โดยกลไกการทำงานของยาแอนติบอดี ค็อกเทล สามารถตรงเข้าจับกับตัวรับบนโปรตีนรูปเดือยบนผิวของไวรัส SAR-CoV-2 ได้แน่นและเฉพาะเจาะจง ทำให้ไวรัสอ่อนกำลังลงและยับยั้งการติดเชื้อภายในร่างกายมนุษย์ได้ และกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้จับกินเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น

“ยาแอนติบอดี ค็อกเทลแตกต่างจากวัคซีน ตรงที่วัคซีนใช้สำหรับป้องกันบุคคลทั่วไปก่อนที่จะไปสัมผัสหรือรับเชื้อ (Pre-Exposure Prophylaxis) ขณะที่กลุ่มยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ ซึ่งรวมถึงยาแอนติบอดี ค็อกเทล แนะนำให้ใช้ในกลุ่มที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าติดเชื้อและมีอาการอยู่ในระดับน้อยถึงปานกลาง ที่ไม่ต้องได้รับออกซิเจนเสริม รวมทั้งเป็นผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการลุกลามไปสู่ระดับรุนแรง” ศ.นพ.มานพ กล่าว

ศ. พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณากุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากผลการทดลองทางคลินิกระยะสาม เกี่ยวกับการใช้แอนติบอดี ค็อกเทลเพื่อรักษาผู้ป่วย COVID-19 ซึ่งมีผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อเข้าร่วมมากกว่า 4,000 คน โดยแต่ละคนแสดงอาการของเชื้อ COVID-19  มาไม่เกิน 7 วัน และมีอาการอยู่ในระดับน้อยถึงปานกลาง โดยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะต้องไม่เคยได้รับยารักษา COVID-19  มาก่อน

จากผลการศึกษาในงานวิจัยดังกล่าวพบว่ายาแอนติบอดี ค็อกเทล 1,200 มก.สามารถช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัสในกระแสเลือดลงได้ ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อ COVID-19  ที่จะลุกลามไปสู่ระดับรุนแรงได้ 70% และยังสามารถช่วยลดระยะเวลาความเจ็บป่วยจาก COVID-19  ลงได้ถึง 4 วัน ด้านความปลอดภัย พบว่าผู้ป่วย COVID-19  ที่ได้รับยาแอนติบอดี ค็อกเทล ไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย แต่มีโอกาสพบอาการข้างเคียงทั่วไปที่เจอได้ในยาฉีด เช่น  เกิดผื่น หรือภาวะภูมิไวเกิน (Hypersensitivity)

ผลการทดสอบจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health – NIH) [1]ระบุว่ายาแอนติบอดี ค็อกเทลมีความไวต่อสายพันธุ์ต่าง ๆ ของเชื้อไวรัส COVID-19 เช่น เบตา (Beta) อัลฟา (Alpha) แกมมา (Gamma) เดลตา (Delta) แต่ยังไม่มีผลการทดลองในมนุษย์ (in vivo)

“ยาแอนติบอดี ค็อกเทล สามารถยับยั้งการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 เช่น เบตา (Beta) อัลฟา (Alpha) แกมมา (Gamma)  และเดลตา (Delta) ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์   ในระดับ Lab  แต่ในการทดลองใช้จริงในสหรัฐอเมริกายังเป็นสายพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่เดลต้า   ซึ่งจะต้องรอข้อมูลจากผลการวิจัยเพิ่มเติม”  ศ. พญ.ศศิโสภิณ กล่าว

นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร กล่าวถึงการที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health – NIH) และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งอเมริกา (Infectious Diseases Society of America – IDSA) ต่างก็ประกาศข้อแนะนำการใช้กลุ่มยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์อย่างมีเงื่อนไขภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Use Authorization – EUA) เพื่อให้ใช้เป็นยารักษาผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการระดับน้อยถึงปานกลาง และผู้ป่วย COVID -19 ที่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจทำให้ลุกลามไปสู่ระดับรุนแรงได้

นอกจากนี้ ข้อมูลการใช้จริง (Real World Evidence) ซึ่งครอบคลุมประชากรในหลายมลรัฐในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น ฟลอริดา จอร์เจีย เซาเทิร์นมินนิโซตา ไอโอวา วิสคอนซิล หรือแอริโซนาราว 6 แสนโดส พบว่า ภายใน 30 วันหลังผู้ป่วย COVID-19 ที่มีความเสี่ยงสูงได้รับกลุ่มยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง และ/หรือ เข้าห้องฉุกเฉินเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยา อีกทั้ง กลุ่มยาดังกล่าวยังมีส่วนช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอีกด้วย

ดังนั้น ยาแอนติบอดี ค็อกเทล สามารถเป็นตัวเลือกทางการรักษา เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่าง ๆ ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด หากนำไปใช้ให้ตรงตามข้อบ่งใช้จะสามารถช่วยลดผลกระทบของอาการ และการติดเชื้อสำหรับผู้ป่วย COVID-19 ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้อาการของโรครุนแรง เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงแพทย์และการดูแลที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น  ด้วยระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาลที่สั้นลงสำหรับผู้ป่วย  ลดการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ และลดการนอนที่โรงพยาบาล เพื่อนำเตียงไปให้ผู้ป่วยที่มีอาการหนัก รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายทั้งที่มองเห็นและไม่เห็นอีกมาก

นพ.วีรวัฒน์ กล่าวว่า ยาแอนตีบอดี ค็อกเทล ได้รับการอนุมัติภายใต้ภาวะฉุกเฉิน   หน่วยงานที่สามารถนำเข้ามาในไทย ประกอบด้วย กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์  องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์  ทั้งนี้ยาแอนตีบอดี ค็อกเทลล็อตแรกส่งมาที่กรมควบคุมโรค และเพิ่งมาถึงสถาบันบำราศนราดูรเมื่อเช้าวันที่ 30 กรกฎาคม 2564  เตรียมทดลองใช้งานจริงกับผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการและปัจจัยเสี่ยงสอดคล้องกับคำแนะนำการใช้ยา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพของประชาชนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาและติดตามผลลัพธ์การรักษาอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความเหมาะสม และแนวทางการรักษาต่อไปในอนาคต

[1]https://www.covid19treatmentguidelines.nih.gov/therapies/anti-sars-cov-2-antibody-products/anti-sars-cov-2-monoclonal-antibodies/


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save