บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียนสัญชาติไทย ขยายธุรกิจห้องเย็นรองรับธุรกิจอาหาร ยาและเวชภัณฑ์และอื่นๆ ซึ่งต้องอาศัยการจัดเก็บด้วยการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมกับชนิดประเภทธุรกิจเปิดห้องเย็นโรโบติกส์เพื่อให้บริการแบบสาธารณะบนพื้นที่จัดเก็บสินค้า 7,000 ตารางเมตร บริเวณย่านมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร โดยนำระบบจัดเก็บสินค้าแบบอัตโนมัติ (ASRS) ใช้ในการเคลื่อนย้ายและจัดเรียงสินค้า สามารถลดการใช้แรงงานได้ 50% และประหยัดพลังงานไฟฟ้า 30-50% คาดสร้างรายได้ปีพ.ศ. 2562 ประมาณ 3,800 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี พ.ศ.2561
จิตชัย นิมิตรปัญญา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีพื้นที่ให้บริการรวมทั้งในและต่างประเทศประมาณ 1,001,491 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่คลังสินค้าประมาณในประเทศ 227,436 ตารางเมตร, พื้นที่ลานเก็บสินค้าประมาณ 774.055 ตารางเมตร, พื้นที่คลังสินค้าในต่างประเทศประมาณ 14,148 ตารางเมตร จากการขยายตัวทางธุรกิจการจัดเก็บอาหาร ยาและเวชภัณฑ์ของลูกค้าที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯจึงได้ตัดสินใจลงทุนสร้างห้องเย็นระบบโรโบติกส์แห่งใหม่บนพื้นที่ 7,000 ตารางเมตร บริเวณย่านมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยงบลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งรวมค่าที่ดินและค่าก่อสร้าง เริ่มเปิดให้บริการสาธารณะแก่ลูกค้าตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา โดยใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการที่ทันสมัยด้วยการนำระบบไอทีที่เหมาะสมเข้ามาใช้ในห้องเย็นมากขึ้น มีการติดตั้งระบบจัดเก็บสินค้าแบบอัตโนมัติ หรือ Automated Storage Retrieval System (ASRS) ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายสินค้าที่รับจัดเก็บเข้าสู่ห้องเย็น การจัดเรียงสินค้าในแนวสูง และการขนย้ายออกจากห้องเย็นตามค่าอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับสินค้าและผลิตภัณฑ์แต่ละประเทศสำหรับนำส่งลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ สามารถจัดเก็บสินค้าได้อย่างรวดเร็ว มีความแม่นยำและความปลอดภัยสูง รวมถึงสามารถจัดเก็บสินค้าในแนวสูงได้ถึง 14 ชั้น รวมประมาณ 15,000 พาเล็ต แต่ใช้ที่ดินก่อสร้างอาคารเท่าเดิม ช่วยให้การทำงานประหยัดและสะดวกมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ใช้ระบบการจัดเรียงแบบ Manual ด้วยแรงงานคน ซึ่งใช้เนื้อที่ค่อนข้างมาก ทำให้เสียเวลา เสียกำลังแรงงานในการจัดเรียง แต่เมื่อปรับมาใช้ระบบอัตโนมัติ ที่สำคัญสามารถลดการใช้แรงงานลงได้ 50% และประหยัดพลังงานไฟฟ้าภายในอาคารได้ประมาณ 30-50% เมื่อเทียบกับคลังสินค้าห้องเย็นแบบเดิมที่ใช้การจัดเรียงด้วยระบบ Manual
ติดตั้ง Solar Rooftop บนอาคารคลังสินค้า นำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วมาใช้ใหม่ 10,031 คิว
สำหรับห้องเย็นระบบโรโบติกส์แห่งใหม่ ซึ่งเปิดให้บริการลูกค้าใช้บริการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมานั้น ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าให้ความสนใจเช่าพื้นที่เกิน 80% ของพื้นที่จัดเก็บสินค้า และถึงจุดทำกำไรได้แล้ว ซึ่งถือว่ารวดเร็วกว่าเดิมที่ตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถทำกำไรได้ หลังจากเปิดให้บริการภายในระยะเวลา 12-18 เดือน โดยส่วนใหญ่เป็นการจัดเก็บสินค้าอาหารทะเลที่ต้องควบคุมอุณหภูมิในระดับที่เหมาะสมเพื่อรอนำส่งจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ จากลูกค้าผู้ประกอบการด้านอาหารที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย เนื่องจากห้องเย็นของบริษัทฯได้รับใบอนุญาต MSC License (Marine Stewardship Council) หรือมาตรฐานรับรองการทำประมงจากธรรมชาติอย่างยั่งยืน และยังได้รับการตรวจรับรองมาตรฐาน ASC (Aquaculture Stewardship Council) ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองอาหารทะเลจากการเพาะเลี้ยงอย่างยั่งยืน โดยใบอนุญาตทั้งสองสามารถช่วยตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของอาหารทะเลได้ทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ติดตั้ง Solar Rooftop บนอาคารคลังสินค้า เพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งในปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา สามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 2,664.64 เมกะวัตต์ ช่วยประหยัดค่าไฟได้กว่า 14 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งมีการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สามารถนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่อย่างเป็นระบบจำนวน 10,031 ลูกบาศก์เมตร
คาดรายได้ปี’62 ประมาณ 3,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20%
จิตชัย กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีพ.ศ. 2562 นี้ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมา 3 ไตรมาสแล้วในปีพ.ศ. 2562 บริษัทฯ ประเมินเบื้องต้นว่าธุรกิจห้องเย็นเติบโตกว่า 7% เทียบจากปีพ.ศ. 2561 โดยคาดว่าทั้งปีพ.ศ. 2562 ยอดขายจะเติบโตขึ้น 20% จากปีพ.ศ.2561 คิดเป็นรายได้ประมาณ 3,800 ล้านบาท ส่วนแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปีพ.ศ.2563 บริษัทฯมีแผนที่จะขยายพื้นที่ให้บริการเพิ่มภายในพื้นที่โครงการมหาชัยอีกประมาณ 5,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับปริมาณจัดเก็บสินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน และการออกแบบงานระบบต่าง ๆ เพื่อจัดเก็บสินค้าแนวสูงประมาณ 11,000 พาเลต ด้วยงบลงทุนประมาณ 220-250 ล้านบาทเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าในปีพ.ศ.2563 รายได้ของบริษัทฯจะเติบโตขึ้นจากปีพ.ศ.2562 ประมาณ 12-15%
ชี้กัมพูชาเติบโตอย่างโดดเด่น ในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับการดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่เติบโตอย่างโดดเด่นและต่อเนื่องกว่าประเทศอื่น ๆในภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันบริษัทฯ มีธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้า ลานรับฝากตู้คอนเทนเนอร์ นิคมอุตสาหกรรม PPSEZ ในเมืองปอยเปต กรุงพนมเปญ และอยู่ระหว่างการขยายพื้นที่คลังสินค้าห้องเย็นเพิ่มเติม ซึ่งจะเปิดบริการในต้นปีพ.ศ. 2563 ส่วนธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ที่เข้าลงทุนใน Bok Seng PPSEZ Co.,Ltd (Bok Seng) คาดว่าจะเติบโตดีในปีพ.ศ. 2563 เช่นกันจากการประเมินการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา
ส่วนธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ลงทุนใน Phnom Penh SEZ Plc. (PPSEZ) ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดหาพื้นที่นิคมฯ เฟส 4
ด้านการลงทุนในเวียดนาม บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจใน TRANSIMEX CORPORATION ผู้นำให้บริการโลจิสติครบวงจรรายใหญ่ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามโดยถือหุ้น 22.76% และเตรียมขยายบริการเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการค้าปลีกข้ามชาติและบริษัทฯ มีแผนเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นในอนาคตอันใกล้อีกด้วย นอกจากนี้กำลังทบทวนการทำธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียที่ร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้ประกอบการท้องถิ่น เนื่องจากทำธุรกิจไปแล้วในขณะนี้ยังไม่สามารถสร้างผลกำไรแก่บริษัทฯ ประกอบกับต้นทุนการดำเนินการจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การแข่งขันสูง อัตราการตอบแทนที่ไม่แน่นอน อาจจะชะลอการลงทุนในอนาคต
ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าในประเทศ สปป.ลาว และเมียนมานั้น จากข้อมูลการลงทุนที่ทางบริษัทฯได้ทำการศึกษาพบว่า ยังไม่เติบโตมากนัก จึงยังไม่เข้าไปลงทุนแต่ก็จะเฝ้าติดตามสถานการณ์ของทั้งสองประเทศนี้อย่างต่อเนื่อง หากสภาพเศรษฐกิจและมีแนวโน้มการลงทุนที่ดี บริษัทฯ ก็พร้อมที่จะเข้าไปร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์ผู้ประกอบการท้องถิ่น