งานวิจัยในยุคใหม่ต้องไม่เป็นเพียงแค่กรณีศึกษาหรือเพื่อหาความรู้เท่านั้น แต่จะต้องสามารถนำมาต่อยอดและก่อให้เกิดมูลค่าในทางเศรษฐกิจ มีประโยชน์ในวงกว้าง รวมทั้งเป็นต้นแบบในการส่งเสริมวัฒนธรรมการคิดค้นสิ่งใหม่ๆในระดับองค์กรให้เกิดขึ้นได้อย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ ภาคส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องมีการผลักดันและใช้ประโยชน์จากงานวิจัยอย่างจริงจังก็คือภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นแต้มต่อที่ทำให้เกิดความแตกต่าง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเท่าทันกับสถานการณ์และบริบทต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเริ่มมีสัญญาณที่ดีที่ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการหันมาใช้งานวิจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจกันเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากสินค้าและการบริการในท้องตลาดที่มีความแปลกใหม่ รวมทั้งนวัตกรรมจำนวนมากมายที่ขายจริงบนช่องทางการค้า
เมื่อเร็วๆนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดกิจกรรม “ตลาดต่อยอดงานวิจัยสู่อุตสาหกรรม” เพื่อเป็นการต่อยอดไอเดียสู่โมเดลธุรกิจ และส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จริงทางเทคโนโลยี งานวิจัย และนวัตกรรมระหว่างผู้พัฒนาและผู้ประกอบการ พร้อมที่จะต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์ โดยภายในงานได้เปิดเวทีให้เหล่านักวิจัยได้ขึ้นไปนำเสนอผลงานอย่างหลากหลาย ซึ่งจากการนำเสนอทำให้ได้ผลงานวิจัยที่ผ่านการประกวดและได้รับการต่อยอดผลงานวิจัยสู่โมเดลธุรกิจของจริง ได้แก่ งานวิจัย Food Factory Internet of Things Platfrom(FIoT)-Intelligent Platform for Leveraging Productivity and Maker Performance ซึ่งเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาระบบดูแลอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องที่มีผลต่อกระบวนการผลิตอาหารในโรงงานอุตสาหกรรม
ดร.พุฑฒิพงษ์ มหาสุคนธ์ ทีมวิจัย Food Factory Internet of Things Platfrom(FIoT)-Intelligent Platform for Leveraging Productivity and Maker Performance เล่าว่า ทางทีมวิจัยทำการค้นคว้าอยู่ประมาณ 2-3 ปี เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญในการเข้าไปดูแลระบบการทำงานของอุตสาหกรรมอาหาร เพราะในประเทศไทยมีโรงงานอุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่ ขนาดย่อม รวมถึงวิสาหกิจชุมชนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่อุตสาหกรรมไทยนั้นอาหารยังขาด Lot Maker หรือผู้ที่มีความถนัดเฉพาะด้านอิเล็กทรอนิกส์และความสามารถด้านซอฟต์แวร์ ส่งผลให้ไม่สามารถวินิจฉัยหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิตได้ รวมทั้งไม่สามารถลดงานเอกสารเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นในการทำวิจัย FIoT ซึ่งจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาในขบวนการควบคุมต่างๆที่มีผลกระทบต่อระบบการผลิตอาหารในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากระบบเซ็นเซอร์จะมีการติดตามตลอดเวลาและรายงานผลแบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลให้กระบวนการผลิตสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดการสูญเสียค่าใช้จ่าย ลดความเสียหายของผลิตภัณฑ์ หรือสินค้า และยังสามารถลดการใช้แรงงานคนจัดการคลังสินค้า ทั้งนี้ระบบดังกล่าวจช่วยลดต้นทุนการสูญเสีย และเพิ่มจำนวนการผลิตได้มากกว่าที่ผ่านมา
สำหรับตัวเซ็นเซอร์ที่ทีมวิจัยได้ศึกษานั้นเรียกว่าระบบ MonitoringAutomatic หรือระบบการตรวจวัดแบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถตรวจวัดสถานะหรือปัญหาที่มีผบกระทบต่อกระบวนการผลิตได้ทั้งหมด 9 กระขบวนการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารได้แก่ 1.กระบวนการควบคุมความร้อม 2.กระบวนการควบคุมแรงดัน 3.กระบวนการทำให้แห้ง 4.กระบวนการควบคุมความชื้น 5.กระบวนการควบคุมส่วนผสม 6.กระบวนการฆ่าเชื้อ 7.กระบวนการควบคุมคุณภาพ 8. การนับ Stock และ9.การวัด Cycle Time โดยการตรวจวัดจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ประกอบว่าต้องการจะให้ระบบตรวจวัดในขบวนการใดบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าอุตสาหกรรมนั้นๆผลิตหรือมีปัญหาอะไรตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตามหากอุตสาหกรรมอาหารสามารถรู้ถึงปัญหาหรือจุดบกพร่องระหว่างการผลิตก็จะส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และลดความสูญเสียลงได้
ภายหลังจากการการนำเสนอผลงาน(Pitching) ทำให้งานวิจัยได้มีโอกาสเติบโตและถูกนำไปต่อยอดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ทีมวิจัยได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จากทางคณะกรรมการ โดยทีมงานจะได้นำคำแนะนำต่างๆไปปรับใช้ทั้งทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์เพื่อพัฒนางานวิจัยให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
สำหรับแพลตฟอร์ม FIoT ประกอบด้วย
- ระบบการเชื่อมต่อเซ็นเซอร์ทุกรูปแบบ ซึ่งได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหาร เพราะโดยทั่วไประบบฐานข้อมูลของโรงงานจะใช้ระบบ Machine to Machine(M2M) จะเป็นระบบการรายงานผลข้อมูลด้วยระบบออนไลน์ ดังนั้นตัวเซ็นเซอร์FIot ที่นำไปติดสามารถเข้าไปทำงานร่วมกับระบบดังกล่าวได้โดยไม่ติดขัด เพราะการเรียกดูข้อมูลของFIotไม่ได้เรียกตลอดเวลา เราสามารถระบุได้ว่าต้องการข้อมูลในช่วงใดบ้าง ช่วยลดการรบกวนการทำงานของระบบโรงงานอุตสาหกรรมลง ทำให้ข้อมูลที่ตรวววัดมีความแม่นยำมากขึ้น
- การยกระดับระบบควบคุมอัจฉริยะทั้งรูปแบบไมโครคอนโทรลเลอร์ และ Programmable Logic Controller (PLC) ซึ่งทั้ง 2 ระบบเป็นระบบควบคุมเครื่องจักรของไลน์การผลิตในโรงงาน โดยการติดตั้งเซ็นเซอร์จะไม่เข้าไปรบกวนการทำงานและยังสามารถตรวจวัดข้อบกพร่องต่างๆรวมกับระบบควบคุมเครื่องจักรโดยไม่ทำให้ไลน์การผลิตเสียหาย
- การติดตั้งที่ง่ายและรวดเร็วโดยการออกแบบล่วงหน้าด้วยระบบ Building Information Modeling โดยทั่วไปแล้วก่อนติดตั้งระบบเซ็นเซอร์จะต้องมีการออกแบบจุดที่จะติดเซ็นเซอร์ก่อนทุกครั้ง แต่ระบบFIot จะออกแบบโดยการขอแปลนโรงงานและนำมาออกแบบว่าจะติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ตรงจุดใด โดยจะมีวิศวกรที่ทำหน้าที่ออกแบบโมเดล วิธีการดังกล่าวจะช่วยลดระยะเวลา ทำให้เกิดความแม่นยำในการติดตั้งแต่ละจุด
- รูปแบบการวิเคราะห์ด้วย Online Web-based ระบบการทำงานของเซ็นเซอร์จะนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบว่าโรงงานจำเป็นจะต้องเพิ่มหรือลดขบวนการผลิตลง เพื่อให้สอดคล้องกับขีดความสามารถของโรงงาน ณ ขณะนั้น รวมทั้งระบบยังช่วยวิเคราะห์การทำงานของเครื่องจักรว่ามีความคงที่หรือไม่ ซึ่งการส่งข้อมูลจะเปรียบเสมือนการให้คำปรึกษาเพื่อแก้ปัญหาค่าวิกฤตต่างๆตามความต้องการของ ISO 22000
- การให้บริการ Cloud as a Software Service เป็นระบบการรองรับข้อมูลที่ได้จากวินิจฉัยผ่านตัวเซ็นเซอร์ทั้งหมด โดยหากเป็นธุรกิจขนาดเล็กสามารถทำได้ผ่านระบบ Google Sheet ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลง ด้านการแก้ไขข้อมูลสามารถดำเนินการผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งจะลดกระบวนการตรวจสอบและเพิ่มคุณภาพง่ายต่อการนำไปใช้
กอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า การนำงานวิจัยมาปรับใช้ในธุรกิจ SME ถือเป็นยุทธศาสตร์หลักของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมฯได้เล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัยในภาคธุรกิจ SME มาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาได้ดำเนินการจัดกิจกรรม “Research Connect หรือ ตลาดต่อยอดงานวิจัยสู่อุตสาหกรรม” เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้เอสเอ็มอีเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาธุรกิจ โดยการขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมให้มากขึ้น เพราะงานวิจัยถือว่าเป็นเครื่องมือที่จะก้าวนำคู่แข่งและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนในปัจจุบันมากขึ้น รวมทั้งงานวิจัยยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ และเพิ่มมูลค่าของธุรกิจ ลดความสูญเสียทั้งด้านแรงงานคน และวัตถุดิบ อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือไลน์ธุรกิจใหม่ๆ ทั้งนี้การยกระดับธุรกิจด้วยงานวิจัยยังช่วยส่งผลให้ธุรกิจไปสู่ความสำเร็จมากกว่า ดังนั้นการวิจัยและนวัตกรรมจึงมีความสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SME ในยุคใหม่
“อย่างไรก็ตามนโยบายการใช้งานวิจัยเข้ามาสนับสนุนธุรกิจ SME ยังถือว่าเป็นนโยบายหลักของทางรัฐบาลที่พยายามใช้งานวิจัยนำ และมีการส่งเสริมนักวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยทางกรมฯเห็นว่าการที่จะทำการจับคู่(Matching) ธุรกิจกับนวัตกรรมจะเป็นอีกส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจให้ยั่งยืนมากยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทั้งนี้สำหรับกลุ่มงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตได้แก่ กลุ่มเกษตรและอาหารแปรรูป กลุ่มพลังงานและสิ่งแวดล้อม กลุ่มการแพทย์และสุขภาพ และกลุ่มซอฟต์แวร์และดิจิทัล โดยมีแนวโน้มที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมและสร้างมูลค่าได้เป็นจำนวนมาก” อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวสรุป