พพ.ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนานโยบายและมาตรการส่งเสริมเรือไฟฟ้าขนาดเล็ก จังหวัดสมุทรสงคราม ชมต้นแบบ“เรือไฟฟ้าขนาดเล็กแบบดัดแปลงสำหรับแม่น้ำ” หลังดัดแปลงเป็นเรือไฟฟ้าสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลง ถึง 8.15 บาท/กิโลเมตร ซึ่งหากสามารถดัดแปลงเป็นเรือไฟฟ้าได้ครึ่งหนึ่งทั่วประเทศ (1,612 ลำ) จะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้กว่า 88 ล้านบาท/ปี มุ่งส่งเสริมชุมชนให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดมลภาวะทางเสียง และกลิ่นควันจากเครื่องยนต์ พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวสีเขียว (Green tourism) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มรายได้ให้ประชาชนในท้องถิ่นอีกด้วย
(8 ก.พ.67) นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า พพ. ได้นำคณะสื่อมวลชนเดินทางตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าโครงการพัฒนานโยบายและมาตรการส่งเสริมเรือไฟฟ้าขนาดเล็ก จังหวัดสมุทรสงคราม โดยโครงการพัฒนานโยบายและมาตรการส่งเสริมเรือไฟฟ้าขนาดเล็ก เป็นโครงการที่จะมุ่งเน้นศึกษาแนวทางการส่งเสริมการใช้เรือไฟฟ้าขนาดเล็กเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยทำการศึกษาข้อมูลการใช้พลังงานในกลุ่มเรือขนาดเล็ก เช่น เรือที่ใช้สัญจรในตลาดน้ำ เรือสัญจรขนาดเล็ก เรือประมงขนาดเล็ก และเรือท่องเที่ยวขนาดเล็ก เพื่อดำเนินการศึกษาในด้านศักยภาพของผู้ประกอบการในการดัดแปลงเรือให้เป็นเรือไฟฟ้า ซึ่งดำเนินการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยได้ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการใช้เรือไฟฟ้าขนาดเล็กเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในประเทศไทย รวมทั้งได้ศึกษาข้อมูลการใช้พลังงานในกลุ่มเรือไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น เรือที่ใช้ในตลาดน้ำ เรือสัญจรขนาดเล็ก เรือประมงขนาดเล็ก เพื่อศึกษาและออกแบบเรือไฟฟ้าขนาดเล็กโดยการดัดแปลงเรือเดิม และเพื่อพัฒนาเรือไฟฟ้าขนาดเล็กแบบดัดแปลง ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวจะนำไปจัดทำแผนนโยบาย และมาตรการการส่งเสริมเรือไฟฟ้า แนวทางการดำเนินมาตรการที่มีความเหมาะสมในอนาคตอีกด้วย
นายวัฒนพงษ์ กล่าวว่า สำหรับเรือต้นแบบลำนี้เป็น “เรือไฟฟ้าขนาดเล็กแบบดัดแปลงสำหรับแม่น้ำ” ทำจากไม้กินน้ำลึก 0.4 เมตร มีน้ำหนักรวมบรรทุก 2.6 ตัน มีความเร็วทำการ 15 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะทางที่ใช้งานได้อยู่ที่ 15 กิโลเมตร ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 18 กิโลวัตต์ ชนิดแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุแบตเตอรี่ 10 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีระบบ Solar cell 1.8 กิโลวัตต์ ใช้ระยะเวลาในการชาร์จ 6-8 ชั่วโมง โดยก่อนดัดแปลงนั้นเรือลำนี้มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน อยู่ที่ 10.5 บาท/กิโลเมตร ซึ่งหลังดัดแปลงเป็นเรือไฟฟ้าพบว่ามีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลดลงเหลือ 2.35บาท/กิโลเมตร ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงได้ 8.15 บาท/กิโลเมตร นอกจากนี้ พพ. ยังได้ศึกษา “เรือไฟฟ้าขนาดเล็กแบบดัดแปลงสำหรับชายฝั่ง” โดยก่อนดัดแปลงมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน อยู่ที่ 12.9 บาท/กิโลเมตร ซึ่งหลังดัดแปลงเป็นเรือไฟฟ้าพบว่ามีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลดลงเหลือ 2.5 บาท/กิโลเมตร ทั้งนี้ พพ. ยังได้มีการประเมินศักยภาพการลดการใช้พลังงานหากสามารถดัดแปลงเป็นเรือไฟฟ้าได้ครึ่งหนึ่งทั่วประเทศ (1,612 ลำ) จะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ประมาณ 88.9 ล้านบาท/ปี
นายวัฒนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การส่งเสริมการใช้เรือไฟฟ้าตามชายฝั่งและแม่น้ำ ล้วนมีความสำคัญ เนื่องจากมีการให้บริการกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นประชาชนที่ใช้สัญจรในชีวิตประจำวัน และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม จึงทำให้การส่งเสริมการใช้เรือไฟฟ้ามีความคุ้มค่าทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เรือไฟฟ้ามีต้นทุนในการดำเนินการที่ต่ำกว่าเรือที่ใช้น้ำมันเพราะเชื้อเพลิงที่มีราคาสูง ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านในชุมชนสามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงในการทำงานและค่าดูแลรักษา ตลอดจนสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่สร้างมลพิษเนื่องจากไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดมลภาวะทางเสียง และกลิ่นควันจากเครื่องยนต์ ในบริเวณชุมชนที่ทำการท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเกิดการเพิ่มรายได้จากการให้บริการนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น ซึ่งในอนาคตจะมีการผลักดันให้ชาวบ้านเปลี่ยนมาใช้เรือไฟฟ้า เพื่อการท่องเที่ยวสีเขียว (Green tourism) ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่เน้นความสมดุลระหว่างสภาพเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะมีการจัดทำคู่มือการดัดแปลง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายหรือช่างในชุมชนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำมาตรการภาครัฐในการส่งเสริมการใช้เรือไฟฟ้าขนาดเล็กที่เหมาะสมไปดำเนินการ เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนสามารถนำแบบสำหรับดัดแปลงเรือไฟฟ้าที่ได้จากโครงการไปเป็นมาตรฐานในการดัดแปลงเรือขนาดเล็กได้ในอนาคต