5 เทรนด์ CX เชื่อมต่อช่องว่างการทำงานบนโลกออนไลน์ สู่ยุค Next Normal


กรุงเทพฯ – ประเทศไทย :ธุรกิจต่างๆ ทั่วเอเชียต้องเผชิญกับแรงกดดันอันมหาศาลในการสร้างประสบการณ์ของลูกค้า (CX) ให้ราบรื่นในปีที่ผ่านมา จากการรับมือกับคำถามของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการจัดการความขาดช่วงของธุรกิจระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ไปจนถึงการผลักดันธุรกิจให้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งดิจิตอลอย่างเต็มตัว ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันครั้งใหญ่นี้นำมาซึ่งโอกาสพิเศษที่ธุรกิจต่าง ๆ ควรคว้าไว้ในปีพ.ศ. 2564 

 

นอกจากนี้ การระบาดของเชื้อ COVID-19 ยังช่วยกระตุ้นการแปลงสู่ดิจิทัลในทุกภาคส่วน ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิตอลที่กำลังเติบโตในประเทศไทย ที่มาพร้อมกับความต้องการบริการดิจิตอลที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค โดยหนึ่งในอุปสรรคอันดับต้น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลในการรับมือกับการบริการลูกค้าในปีพ.ศ.2563 คือ ความจำเป็นของช่องทางการดูแลลูกค้าที่ครอบคลุมและทั่วถึงมากขึ้น 

 

5เทรนด์สำคัญที่จะพลิกบทบาทอุตสาหกรรม CX หลังยุค COVID-19

  1. ลูกค้าคือพระเจ้า: ความท้าทายหลักสำหรับธุรกิจไม่ใช่คู่แข่งอีกต่อไป แต่เป็นลูกค้า เห็นได้ชัดว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้กำหนดวิธีการดำเนินธุรกิจ โดยในอดีต ธุรกิจส่วนใหญ่มักจะใช้กลยุทธ์พื้นฐานที่ขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของตลาดและคู่แข่ง แต่ในทางกลับกัน ปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่หันไปให้น้ำหนักกับความสนใจ ไลฟ์สไตล์ และรูปแบบพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อกระตุ้นยอดขายเป็นหลัก

    เมื่อธุรกิจต่าง ๆ หันมาตอบรับความต้องการของลูกค้าผ่านระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการบริการลูกค้าจากทางออนไลน์ ทำให้ลูกค้าเกิดความเคยชินต่อการตอบรับที่รวดเร็วทันใจ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของผู้บริโภคไปสู่การบริการลูกค้าที่สะดวก เร็ว และพร้อมให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยความต้องการที่จะได้รับการตอบรับตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันหมายความว่าธุรกิจจะต้องรักษาระบบสร้างประสบการณ์ของลูกค้า (CX) และระบบการบริการลูกค้า (CSS) ที่แข็งแกร่งเพื่อให้ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้สถิติจากรายงานของ Infobip ระบุว่าประเทศส่วนใหญ่ที่ทำแบบสำรวจทั่วเอเชียรวมถึงประเทศไทยมีการสอบถามจากลูกค้าเพิ่มขึ้นตั้งแต่เชื้อ COVID-19 เริ่มระบาด โดย 47.57% ของพนักงานบริการลูกค้าในประเทศไทยรายงานว่ามีการสอบถามข้อมูล ข่าวสาร และขอการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นความท้าทายหลักในการทำงานแบบออนไลน์

    นอกจากนี้ แบรนด์ควรปรับกลยุทธ์เพื่อให้มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้น (Customer-centric) ด้วยการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเสริมสร้างการเดินทางของลูกค้าที่ครอบคลุมและสมบูรณ์มากขึ้น อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติ ตั้งแต่ขั้นแรกที่ลูกค้าเริ่มสนใจแบรนด์ จนตัดสินใจซื้อ ไปจนถึงบริการหลังการขาย ลูกค้ามักจะมองหา CX ที่ดีที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบ

  2. ปลอดภัยไว้ก่อน: ด้วยการบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นรวมถึงบริการหลังการขายและการบริการลูกค้าทั่วไป ทำให้เกิดคำถามเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งกลายเป็นข้อกังวลหลักของลูกค้าในการตัดสินใจซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ การบริการลูกค้าบางรายการจำเป็นต้องมีการยืนยันตนของลูกค้า หรือการกรอกข้อมูลส่วนตัว ก่อนที่จะได้รับการดูแลจากทีมบริการลูกค้า ดังนั้นลูกค้าจึงเริ่มสังเกตเห็นปริมาณข้อมูลส่วนบุคคลที่พวกเขาต้องกรอกออนไลน์หรือผ่านแอป โดยรายงานจาก Infobip พบว่า 20% ของลูกค้าจะไม่เสร็จสิ้นกระบวนการซื้อหากพวกเขารู้สึกว่าการชำระเงินไม่ปลอดภัย และเมื่อพูดถึงกระบวนการการบริการลูกค้าแบบอัตโนมัติ หากลูกค้ารู้สึกว่ากระบวนการนั้นไม่ปลอดภัย พวกเขาอาจจะเลือกที่จะขอคุยกับตัวแทนที่เป็นมนุษย์แทนแชทบอทซึ่งนับว่าขัดต่อจุดประสงค์ของการทำให้บริการผ่านระบบอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม เราสามารถสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับลูกค้าผ่านโปรโตคอลความปลอดภัย เช่น การการยืนยันตนสองขั้นตอน (2 factor authentication: 2FA) และสามารถเพิ่มการใช้งานและประสิทธิภาพของกระบวนการบริการลูกค้า CS อัตโนมัติ เพื่อเสริมความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อีกด้วย

  3. แบรนด์ต่างๆ เริ่มใส่ใจในความเฉพาะเจาะจง: การบริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคลหรือ Personalisation ก็เป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่กำลังมาแรง จากรายงานโดย Infobip ที่ทำร่วมกับ Customer Contact Week Digital (CCWD) พบว่าลูกค้าให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากขึ้น 58% ซึ่งระบบการสร้างประสบการณ์ของลูกค้า CX นั้นมีความเกี่ยวข้องกับระบบการบริการลูกค้า CS โดยตรงอยู่แล้ว โดยการปรับเปลี่ยนให้เฉพาะบุคคลหรือ Personalisation สามารถเป็นไปได้หลายรูปแบบ นอกจากนี้การที่ธุรกิจหันมาใช้โซลูชันดูแลลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลทำให้การเก็บฐานข้อมูลของลูกค้าเป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

    แน่นอนว่าธุรกิจต่างๆ ทราบถึงคุณค่าของการเข้าใจและรู้จักลูกค้าอยู่แล้ว แต่ความเฉพาะเจาะจงนั้นมีความหมายมากกว่าการจำชื่อลูกค้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น เป็นสิ่งที่ลูกค้าหลายคนมองหา โดย 72% ของลูกค้าเผยว่าพวกเขาต้องการให้ฝ่ายบริการลูกค้า “รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ซื้ออะไร และมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเส้นทางการซื้อครั้งก่อนๆ” (1) และจากผลสำรวจของ Infobip พบว่า 31% ของลูกค้ากล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมกับธุรกิจที่เข้าใจความต้องการของพวกเขามากกว่าในแง่ของสินค้าและบริการ ในขณะที่จำนวนใกล้เคียงกัน (32%) กล่าวว่าการรับการสื่อสารที่สอดคล้องกับความสนใจและความชอบส่วนตัวเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

    นอกจากนี้ ด้วยการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการสามารถระบุช่องทางที่ลูกค้าน่าจะมีส่วนร่วมมากที่สุดและเมื่อใด และยังมองเห็นถึงโอกาสในการขายต่อ หรือแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้อีกด้วย นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่การดูแลลูกค้าจะผันจากการตอบสนองเป็นบริการเชิงรุกที่เน้นประสบการณ์แทน

  4. เลือกเส้นทางที่เชื่อมต่อหลายแพลตฟอร์มแบบ Omnichannel: สถิติจาก Microsoft Global State of Customer Service (2)ล่าสุดเปิดเผยว่าลูกค้าส่วนใหญ่เลือกใช้กว่า 3-5 ช่องทางเพื่อแก้ไขปัญหา โดยเป้าหมายหลักของการบริการลูกค้าแบบ Omnichannel คือ ทำให้การเชื่อมต่อกับฝ่ายบริการเป็นไปได้อย่างสะดวกที่สุดสำหรับลูกค้า  โดยให้ลูกค้าสามารถเลือกช่องทางการสื่อสารที่ต้องการได้ และอิสระในการเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา

    อย่างไรก็ตาม เคล็ดลับคือการเชื่อมต่อช่องทางต่างๆ และสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นหนึ่งเดียวระหว่างทุกช่องทาง ถ้าคุณไม่ทำเช่นนี้ ข้อมูลและช่องทางของคุณจะขาดช่วง และการบริการลูกค้าของคุณจะขาดประสิทธิภาพที่เพียงพอ ทั้งนี้จากผลสำรวจของ Qualtrics ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจากหลากหลายแพลตฟอร์มมากขึ้น โดยลูกค้า 40% ระบุว่าพวกเขาต้องการแก้ไขปัญหาผ่านการบริการตนเอง 25% ผ่านการแชทออนไลน์ 21% ทางโทรศัพท์ และ 15% ตัวต่อตัวกับพนักงานบริการ(3)

    ยิ่งไปกว่านั้น CCWD รายงานว่าภายในกระบวนการซื้อ 95% ของลูกค้ามักปฏิเสธที่จะย้ายจากหนึ่งขั้นตอนการซื้อไปสู่อีกขั้นตอนต่อไป หากจำเป็นต้องเปลี่ยนแอป แพลตฟอร์ม หรือเซสชันระหว่างแต่ละขั้นตอน ดังนั้นธุรกิจจึงควรคำนึงความสำคัญของการเชื่อมต่อระบบบริการลูกค้าจากหลายแพลตฟอร์มมารวมไว้ในระบบเดียวกันด้วยการใช้โซลูชันแบบ Omnichannel เพื่อการสื่อสารที่ราบรื่นไร้รอยต่อ พร้อมยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าไปอีกขั้น

  5. ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อทางออกที่เร็วกว่า: คำถามที่พบบ่อย (FAQ) ครอบงำคำถามของลูกค้าส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเชื้อ COVID-19  เนื่องจากลูกค้าไม่สามารถพบกับพนักงานบริการได้ด้วยตนเอง ในกรณีส่วนใหญ่ ข้อความค้นหาทั่วไปที่ไม่ซับซ้อนเหล่านี้มักเหมาะอย่างยิ่งสำหรับ Chatbots เพื่อบริการลูกค้า ที่ออกแบบมาเพื่อเข้าใจเจตนาความต้องการของลูกค้าและเชื่อมต่อพวกเขากับคำตอบที่พวกเขามองหาตลอดเวลา ซึ่งส่งผลให้ลูกค้ามีความพึงพอใจสูงขึ้น

    นอกจากนี้การบริการลูกค้าผ่านระบบอัตโนมัติยังเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการลดเวลาตอบสนอง และมอบอำนาจให้ลูกค้าของคุณสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองและรับคำตอบแบบเรียลไทม์ ซึ่งจากผลสำรวจของ Qualtrics ที่เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่าลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่ที่ 40% ต้องการแก้ไขปัญหาการสนับสนุนผ่านการบริการตนเอง และเมื่อเชื่อมต่อระบบนี้เข้ากับศูนย์การติดต่อบริการบนคลาวด์ดิจิตอล เจ้าหน้าที่ของคุณสามารถเข้าถึงประวัติการสนทนาของ Chatbots ทั้งหมดและสามารถจัดการปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้นได้อย่างง่ายดาย

    โดย Chatbots AI หรือคีย์เวิร์ด Chatbots สามารถช่วยควบคุมปริมาณงานของพนักงานบริการ และให้คำตอบที่รวดเร็วทันใจแก่ลูกค้าด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ Chatbots ไม่ได้มีไว้เพื่อเติมช่องว่างเมื่อไม่มีทีมพนักงารบริการมาสนับสนุนอีกต่อไป แต่มยังเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพของทีมที่มีอยู่ด้วยการทำงานอัตโนมัติและจัดการการสนทนาอันหลากหลายในเวลาเดียวกัน ความกระตือรือร้นในการใช้งานแชทบอทนั้นมีมากโดยเฉพาะในช่วงเชื้อ COVID-19 โดย 80% ของผู้บริโภครายงานประสบการณ์กับ Chatbots ในเชิงบวก (4)และถึง Chatbots จำนวนมากนั้นค่อนข้างเรียบง่าย แต่คำถามที่ผู้คนถามพนักงานบริการก็มักจะไม่ซับซ้อนเช่นกัน  ดังนั้น จึงสอดคล้องกับรายงานที่ระบุว่า Chatbots สามารถตอบคำถามมาตรฐานได้มากถึง 80% (IBM)(5).

    อีกทั้งด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) Chatbots ยังมีประสิทธิภาพในการพัฒนายิ่งขึ้นไปอีก ไม่แน่เราอาจจะเห็น Chatbots เสนอคำแนะนำที่ซับซ้อนมากขึ้นและสอดคล้องกับข้อมูลจากพฤติกรรมและบทสนทนาของลูกค้าในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้ ดังนั้น เป้าหมายที่สุดคือการใช้ AI เพื่อขับเคลื่อนการโต้ตอบของบทสนทนาที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติราวกับสื่อสารกับมนุษย์อีกคนหนึ่ง

จากข้อมูลตามรายงานของ Infobip และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วรอบตัวเราจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้แน่ชัดแล้วว่าระบบดิจิทัลนั้นจะอยู่กับเราไปอีกนานและเรากำลังจะก้าวสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นธุรกิจและการบริการในไทยจำเป็นต้องศึกษา อัพเดทเทรนด์ และเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นโอกาส เพื่อการบริการลูกค้าอย่างเต็มประสิทธิภาพและก้าวสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ

โดยเอกรัฐ งานดี ผู้จัดการ Infobip (ประเทศไทย) จำกัด
โดยเอกรัฐ งานดี ผู้จัดการ Infobip (ประเทศไทย) จำกัด

 

(1) http://info.microsoft.com/rs/157-GQE-382/images/EN-CNTNT-Report-DynService-2017-global-state-customer-service-en-au.pdf

(2) https://info.microsoft.com/ww-landing-global-state-of-customer-service.html

(3) https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4206869

(4) https://research.aimultiple.com/chatbot-stats/

https://www.ibm.com/blogs/industries/what-are-chatbots/


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save