ซิสโก้เผยผลการศึกษา ชี้ Mobile และ AI หนุนการขับเคลื่อนประสบการณ์ทำงานแบบไฮบริด รองรับการทำงานได้ทุกที่


กรุงเทพฯ – ประเทศไทย  : ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) เปิดตัวรายงานผลการศึกษาดัชนีการทำงานแบบไฮบริดทั่วโลก (Hybrid Work Index : HWI) เป็นครั้งแรก โดยอ้างอิงข้อมูลลูกค้าแบบรวมที่ไม่ระบุชื่อหลายล้านรายการ  ซึ่งเก็บรวบรวมจากแพลตฟอร์มต่างๆ ของซิสโก้ ทั้งในส่วนของแพลตฟอร์มที่รองรับการทำงานร่วมกัน (Webex), ระบบเครือข่าย (Meraki), การติดตามประสิทธิภาพของอินเทอร์เน็ต (ThousandEyes) และการรักษาความปลอดภัย (Talos, Duo, Umbrella)  

ดัชนีดังกล่าวได้รับการอัปเดตทุกไตรมาส โดยศึกษาพฤติกรรม และรูปแบบการใช้งานเทคโนโลยี ซึ่งรายงานชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนต่อรูปแบบการทำงานในช่วงหนึ่งปีครึ่งที่เชื้อไวรัส COVID-19 แพร่ระบาด ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าบุคลากรที่ทำงานในรูปแบบไฮบริดคาดหวังว่าจะมีการปรับปรุงด้านความยืดหยุ่นในการทำงาน การเข้าถึงระบบ และความปลอดภัย ขณะที่องค์กรธุรกิจพยายามตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น

ทวีวัฒน์ จันทรเสโน กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน กล่าวว่า การก้าวไปสู่การทำงานแบบไฮบริดที่ประสบความสำเร็จต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ คือ การให้ความสะดวกกับพนักงานในการทำงานได้ทุกที่ และการTransform Workspace องค์กรธุรกิจที่สนันสนุนกลยุทธ์การทำงานแบบไฮบริด ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงาน และการมีส่วนร่วม ซึ่งจะดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถให้คงอยู่ และประสบความสำเร็จในระยะยาว

 

การที่พนักงานจะประสบความสำเร็จในการทำงานแบบไฮบริดนั้น บริษัทจะต้องแน่ใจว่าได้มอบประสบการณ์ที่มีส่วนร่วมให้กับพนักงาน รวมถึงความปลอดภัยไม่ว่าพวกเขาจะทำงานจากที่ใดก็ตาม ในขณะเดียวกัน จากมุมมองของการเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงาน ธุรกิจต่างๆ ควรใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการเปลี่ยนสถานที่ทำงานให้เป็นศูนย์กลางของความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม นี่คือสิ่งที่จะส่งผลกระทบกับบริษัทมากที่สุด เพราะเรากำลังมุ่งไปสู่การทำงานที่ไม่ต้องพึ่งพาสถานที่ประจำที่พนักงานต้องไป แต่เป็น ‘ลักษณะงาน’ ที่พวกเขาทำจากสถานที่ที่พวกเขาเลือกมากกว่า

 ทวีวัฒน์  กล่าว

 

จากรายงานผลการศึกษา มีประเด็นสำคัญสำหรับผู้บริหารฝ่ายบุคคลดังนี้

1.พนักงานต้องการทางเลือก และสถานที่ทำงานแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานมีความภักดีต่อองค์กรมากขึ้น  64% เห็นด้วยว่าตัวเลือกในการทำงานจากที่บ้าน แทนที่จะต้องเข้าออฟฟิศ ส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะลาออกหรืออยู่ต่อ  อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนว่านายจ้างจะตระหนักถึงศักยภาพของการทำงานแบบไฮบริดหรือไม่ โดยมีเพียง 47% ที่คิดว่าบริษัทจะอนุญาตให้พนักงานทำงานได้จากทุกที่แทนการทำงานในออฟฟิศ ใน 6-12 เดือนข้างหน้า

2.ความยืดหยุ่นและสุขภาพ คือปัจจัยหลักที่ผลักดันการทำงานแบบไฮบริด ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงการทำงานที่ยืดหยุ่น เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับเปลี่ยนไปสู่รูปแบบการทำงานไฮบริดในอนาคต

3.การทำงานแบบไฮบริดส่งผลให้การประชุมขณะเดินทางพุ่งสูงขึ้น ก่อนการแพร่ระบาด พนักงานใช้เวลา 9% ไปกับการประชุมผ่าน Mobile แต่เมื่อเข้าสู่โลกการทำงานแบบไฮบริด ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 3 เท่า โดยปัจจุบันอยู่ที่ 27%

 

 

4.มีการประชุมเกิดขึ้นทั่วทุกที่ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะ “เข้าร่วม” ในลักษณะเดียวกัน ในแต่ละเดือนที่ผ่านมา มีการประชุมเกิดขึ้นกว่า 61 ล้านครั้งทั่วโลกผ่านทางแพลตฟอร์ม Cisco Webex แต่มีผู้เข้าร่วมเพียง 48% เท่านั้นที่เป็นฝ่ายนำเสนอในที่ประชุม นอกจากนี้ ใน 98% ของการประชุม มีอย่างน้อย 1 คนที่เข้าร่วมประชุมแบบ Remote จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการประชุมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม และทำให้เกิดความรู้สึกเท่าเทียมกันกับผู้เข้าร่วมที่อยู่ในห้องประชุม

5.การทำงานแบบไฮบริดช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลาย 82% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยว่าการเข้าถึงบริการเชื่อมต่อมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูธุรกิจหลังการแพร่ระบาด รวมถึงความสำคัญของการเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงตำแหน่งงาน การศึกษา และบริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง  การเข้าถึงบริการเชื่อมต่อเพิ่มมากขึ้นจะช่วยให้บุคลากรสามารถทำงานให้กับองค์กรใดก็ได้บนโลกใบนี้ ขณะเดียวกันบริษัทก็สามารถสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถได้จากทุกที่ ไม่ว่าบุคลากรจะทำงานอยู่ที่ใดก็ตาม

6.ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ได้เข้ามาทำงานแทนพนักงาน แต่ AI จะเป็นแกนหลักสำหรับการทำงานในอนาคตการใช้เทคโนโลยี AI ที่เพิ่มขึ้นกว่า 200% ในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2564 แสดงให้เห็นว่าบุคลากรต้องการระบบการประชุมที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่ใช้ในการประชุม เช่น การตัดเสียงรบกวน การแปลและถอดเสียงโดยอัตโนมัติ การสร้างโพลล์สำรวจ และการจดจำท่าทาง ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการมีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นการประชุมภายในห้อง หรือบนระบบเสมือนจริงก็ตาม

 

ในส่วนประเด็นสำคัญสำหรับผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยี คือ 

 

1.เครือข่ายภายในบ้านกลายเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่สุดของเครือข่ายองค์กร ตั้งแต่เริ่มเกิดการแพร่ระบาด COVID-19 อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการทำงานนอกสถานที่ (Teleworker Devices) มีการเติบโตถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับเราเตอร์สำหรับองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)

2.ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นตอกย้ำความสำคัญของระบบรักษาความปลอดภัยที่มุ่งเน้นผู้ใช้ (User-centric) ในช่วงแพร่ระบาด มีความพยายามเจาะระบบเพิ่มขึ้น 2.4 เท่า โดยในเดือนกันยายน 2564 พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของภัยคุกคามทางอีเมล์กว่า 100 ล้านครั้งต่อวัน สถานการณ์ดังกล่าวตอกย้ำถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านการรักษาความปลอดภัยที่จะช่วยให้บุคลากรสามารถเข้าถึงระบบสำหรับการทำงานอย่างปลอดภัย และรอดพ้นจากการโจมตีและการหลอกลวง

3.องค์กรมองว่า “แอปที่ใช้ในการทำงานร่วมกัน” มีความสำคัญมากที่สุดต่อความสำเร็จของการทำงานแบบไฮบริด แอปที่ใช้ในการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ครองอันดับ 1 ในประเภทของแอปพลิเคชั่นที่มีการมอนิเตอร์มากที่สุดทั่วโลก โดยแอปสำหรับการทำงานร่วมกันแซงหน้าแอปพลิเคชันที่ตรวจสอบด้านประสิทธิภาพการทำงาน และแอปที่ช่วยในการเข้าถึงอย่างปลอดภัย โดยมีการใช้งานอย่างมากในช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาด และช่วงการทำจากที่บ้าน (WFH)

3.เครือข่ายของผู้ให้บริการคลาวด์มีเสถียรภาพมากกว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ในช่วงเดือนมกราคม 2563 ถึงสิงหาคม 2564 พบปัญหาระบบการทำงานล่มจากเครือข่ายของผู้ให้บริการคลาวด์เพียง 5% ขณะที่ 95% ที่เหลือล่มจากเครือข่ายของ ISP

4.พนักงานเตรียมกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ในออฟฟิศเพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนที่ผ่านมา การเติบโตนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาคอุดมศึกษา บริการด้านวิชาชีพ และธุรกิจบริการ

 

ประเด็นหลักต่างๆ จากดัชนี HWI นี้จะช่วยให้ผู้บริหารองค์กรธุรกิจเข้าใจแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสม เพื่อความสำเร็จระยะยาวในการสร้างประสบการณ์ทำงานแบบไฮบริดแก่พนักงานและองค์กร


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save