ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ (ที่2จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และดร.เจริญ ตั้งตรงเบญจศีล (ที่2จากขวา) กรรมการบริษัท พรีมา เลเซอร์ เทอร์ราพี จำกัด
กรุงเทพฯ – 21 ธันวาคม 2563 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับบริษัท พรีมา เลเซอร์ เทอร์ราพี จำกัด ส่งต่อนวัตกรรม “P-Mask”
หน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้ และชุดหน้ากาก PAPR ให้กับสถานพยาบาลในย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล กรมการแพทย์ และกรมการแพทย์ทหารบก ทดแทนการใช้หน้ากากอนามัยชนิดใช้ครั้งเดียว ซึ่งนอกจากจะมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยในการกรองเชื้อไวรัสโคโรน่า 19 แล้วยังสามารถป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 และถูกออกแบบให้หายใจได้สะดวกขณะสวมใส่ อีกทั้งช่วยลดปริมาณขยะพิษจากหน้ากากอนามัยชนิดใช้ครั้งเดียวอีกด้วย
3 สถานพยาบาลในย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล กรมการแพทย์ และกรมการแพทย์ทหารบก รับมอบ “P-Mask” หน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้ และชุดหน้ากาก PAPR
ผศ.ดร. ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการและโฆษกกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.)
กล่าวว่า
อว. ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ COVID-19 และปัญหาฝุ่น PM 2.5 มาอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยองค์ความรู้ เครือข่าย และความร่วมมือจากพันธมิตรทั้งหน่วยงานภายในการกำกับของกระทรวงฯ ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อหาแนวทางการแก้ไข ป้องกัน และบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโอกาสการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์กระแสสังคมในช่วงนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการปรับตัวของภาคเอกชน
สำหรับผลงานนวัตกรรม “หน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้” ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการสร้างสรรค์นวัตกรรมจากวิกฤตที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย ลดปริมาณขยะมหาศาลจากการทิ้งหน้ากากอนามัยชนิดใช้ครั้งเดียว อีกทั้งยังสามารถนำมาต่อยอดเป็น “นวัตกรรมหน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศีรษะชนิดมีพัดลมพร้อมชุดกรองอากาศ หรือ ชุดหน้ากาก PAPR” สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ได้อีกด้วย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองในการผลิตวัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานสากล แสดงถึงศักยภาพความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมของคนไทยว่าไม่ด้อยไปกว่าชาติใดในโลก ซึ่งจะส่งผลต่อการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งนวัตกรรม” ต่อไป
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ในช่วงการระบาดของเชื้อ COVID – 19 ที่ผ่านมา NIA ได้จัดสรรงบประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนนวัตกรรม ป้องกัน COVID-19 ภายใต้ โครงการนวัตกรรม มุ่งเป้า โดยได้สนับสนุนเงินทุนให้กับบริษัท พรีมา เลเซอร์ เทอร์ราพี จำกัด ในวงเงิน 2.895 ล้านบาท เพื่อพัฒนานวัตกรรม “หน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้” ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเป็นนวัตกรรม “หน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศีรษะชนิดมีพัดลมพร้อมชุดกรองอากาศ หรือ ชุดหน้ากาก PAPR” สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ได้อีกด้วย โดยปัจจุบันดำเนินโครงการเสร็จสิ้นเรียบร้อย พร้อมส่งต่อสู่การใช้จริงในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน จึงส่งมอบ “หน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้” จำนวน 6,000 ชิ้น และ “ชุด PAPR” จำนวน 250 ชุด ให้กับสถานพยาบาลภายในย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ซึ่งเป็นพื้นที่ให้บริการทางการแพทย์ที่มีผู้เข้ารับการรักษามากที่สุดในประเทศไทย โดยจัดสรรหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้ ให้กับกรมการแพทย์ กรมแพทย์ทหารบก และมหาวิทยาลัยมหิดล หน่วยงานละ 1,500 ชิ้น และ ชุดหน้ากาก PAPR หน่วยงานละ 50 ชุด เพื่อกระจายให้กับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไปหรือผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการในสถานพยาบาลต่าง ๆ
การพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ NIA มีการผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทำงานร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) และอาศัยเครือข่ายย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ซึ่งประกอบด้วยโรงพยาบาล สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ทั้งภาครัฐและเอกชน เกือบ 20 แห่ง ที่มีขีดความสามารถในการให้บริการสุขภาพ และการวิจัยพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ระดับสูง เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน และสังคม ซึ่งรัฐบาลได้พัฒนาให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการให้บริการทางสาธารณสุข โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวง อว . และกระทรวงสาธารณสุข
ดร.เจริญ ตั้งตรงเบญจศีล กรรมการบริษัท พรีมา เลเซอร์ เทอร์ราพี จำกัด กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการทำหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้คือ ต้องการลดขยะพลาสติกที่มาจากการใช้หน้ากากอนามัย เพราะที่ผ่านมามีขยะพลาสติกที่เกิดจากการใช้แล้วทิ้งเป็นจำนวนมาก ประกอบกับเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหา COVID-19 และการเข้าถึงหน้ากากอนามัยที่เป็นไปอย่างลำบาก โดยบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก NIA เพื่อดำเนินการผลิตหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำ 2 รูปแบบ ประกอบด้วย P-Mask นวัตกรรมหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้ ประกอบด้วยฟิลเตอร์ที่ผลิตจากเทฟลอน (PTFE) ซึ่งมีรูพรุนขนาดเล็กสามารถกรองไวรัส แบคทีเรีย และฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณสมบัติเทียบเท่า Surgical Mask อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างยาวนาน สามารถทำความสะอาดได้ นอกจากนี้ ผ้าด้านในยังใช้เส้นใยที่เคลือบซิลเวอร์นาโน ซึ่งจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังและละอองน้ำลาย จึงไม่เกิดกลิ่นเหม็นจากการใช้งาน สำหรับการทดลองที่ผ่านมาพบว่าหน้ากากผ้าสามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กตั้งแต่ 0.1 -0.3 ไมครอนได้มากถึง 95% และสามารถป้องกันฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่กว่า 0.5 ไมครอนได้ถึง 99% โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ และผ่านการทดสอบมาตรฐานจากห้อง Lab ในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ เมื่อสวมใส่แล้วช่วยให้หายใจสะดวก ไม่ทำให้ใบหน้าระคายเคือง สามารถถอดแยกเพื่อทำการซักล้างได้ มีอายุการใช้งานที่นานกว่าหน้ากากผ้าทั่วไป จากการทดลองใช้ประมาณ 9 เดือน พบว่ายังสามารถใช้งานได้ดีตามปกติ
ส่วนนวัตกรรมหน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศีรษะชนิดมีพัดลมพร้อมชุดกรองอากาศ (Powered Air Purifying respirator : PAPR) มีลักษณะเป็นหมวกคลุมศีรษะและปั๊มลมช่วยดันลม ใช้ฟิลเตอร์เป็นเทฟลอนเช่นเดียวกัน โดยอุปกรณ์ดังกล่าวป้องกันเฉพาะส่วนคอถึงศีรษะเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ร่วมกับชุด PPE-Personal Protective Equipment โดยปั๊มลมด้านหลังนอกจากจะช่วยในเรื่องการหายใจแล้วยังสามารถกรองเชื้อไวรัสได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดเป็นอุปกรณ์ใช้แทนหน้ากาก N 95 ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนหน้ากาก N 95 ที่ป้องกันฝุ่น PM 2.5 แต่ทำให้หายใจสะดวกขึ้น
ดร.เจริญ กล่าวว่า
หน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้ มีราคาขายที่ 599 บาท เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยบริษัทฯ มีกำลังการผลิต 1แสนชิ้น ต่อ 14 วัน ทั้งนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะ ปรับราคาจำหน่ายให้เหมาะสม และกระจายสู่ช่องทางที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วีระพงษ์ ภูมิรัตนประพิณ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
หนึ่งใน 3 หน่วยงานที่รับมอบนวัตกรรมหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้ และชุด PAPR กล่าวว่า ต่อไปการสวมหน้ากากอนามัยจะเป็น Norm ของคนไทย เนื่องจากอย่างเร็วในช่วงกลางปีหน้า ไทยถึงจะมีวัคซีนป้องกัน COVID -19 และการที่ COVID -19 จะเปลี่ยนจาก Pandemic เป็นโรคประจำถิ่น น่าจะใช้เวลาราว 2 ปี อีกทั้งปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังเป็นปัญหาสำคัญสำหรับประเทศไทย เพราะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ดังนั้นคนไทยต้องสร้างความคุ้นเคยในการใช้หน้ากากอนามัย