สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อการพัฒนานิเวศ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศไทย
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี และ เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) การพัฒนาสภาพแวดล้อมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมี จันทวรรณ สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านระบบเงิน สกพอ. และ ดร. วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล รองประธาน ส.อ.ท. เป็นสักขีพยาน เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่อีอีซีให้มีศักยภาพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ตอบโจทย์ และสามารถยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EECให้มีความเป็นสากล อีกทั้งร่วมเป็นพันธมิตรในการขับเคลื่อนโครงการที่มีความสำคัญต่อการสร้างระบบนิเวศรองรับการลงทุนให้พื้นที่ EEC
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่าทาง อีอีซี และ ส.อ.ท. จะร่วมดำเนินการใน 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1. ผลักดันผู้ประกอบการให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของผู้ประกอบการ SMEs หรือ Startup ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ และต่อยอดธุรกิจในอนาคต และร่วมจัดกิจกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (Business Network) 2. ร่วมกันผลักดันให้ผู้ประกอบการใน Supply Chain ของอุตสาหกรรมเป้าหมายและผู้ประกอบการ Startup ให้สามารถรับเงินทุนสนับสนุนผ่านกองทุนอินโนเวชั่นวัน (Innovation One) หรือจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาธุรกิจนวัตกรรม Startup ไทย และต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ภาคธุรกิจได้อย่างแท้จริง และ 3. ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการทั้ง Project-Based และ Flagship Projects ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของพื้นที่ EEC พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่มีศักยภาพ
“ความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นกลไกที่สำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายใหม่ (Startup) ตลอดจนผู้ประกอบการขนาดใหญ่ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน พัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมและบริการให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เสริมสร้างความพร้อมของห่วงโซ่การผลิต (Production Chain) และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) พร้อมยกระดับให้มีความเป็นมาตรฐานและมีความเป็นสากล ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการชักชวนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EEC ” ดร.จุฬา กล่าว
ด้านเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ New S-Curve ที่สำคัญของประเทศไทย โดยในปี 2566 มีมูลค่าการลงทุนกว่า 38,613 ล้านบาท และมีสมาชิก ส.อ.ท. ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 1,209 ราย ครอบคลุม 3 จังหวัดที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ ระยอง ชลบุรีและฉะเชิงเทรา จึงเห็นว่าความร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท. และ EEC เป็นแนวทางที่สำคัญ ซึ่งทางส.อ.ท.พร้อมจะสนับสนุนในด้านข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการของเครือข่ายสมาชิก ส.อ.ท. ที่ประกอบด้วย 46 กลุ่มอุตสาหกรรมและ 11 คลัสเตอร์ ครอบคลุม 76 จังหวัด ให้แก่ผู้ประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษฯ เพื่อก่อให้เกิดการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (Business Network) และยกระดับภาคอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) สู่อุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย ONE FTI อีกทั้งในปัจจุบัน ส.อ.ท. ได้มีการจัดตั้งโครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” ขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าว จะเข้ามาช่วยสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการในภาคอุตสาหกรรม
“สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยินดีที่ได้จับมือทำงานร่วมกับอีอีซี ในฐานะที่เป็นผู้ส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งสมาชิกของ ส.อ.ท. ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว จะสามารถเข้าถึงเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจและแหล่งเงินทุน รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจซึ่งจะทำให้การดำเนินธุรกิจในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เติบโตและก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น” เกรียงไกร กล่าว
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ยังมีแนวคิดในการการพัฒนานิเวศสำหรับนักลงทุน เพื่อส่งเสริมและดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น และการพัฒนาและเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การพัฒนาด้านระบบขนส่ง (Logistics) การดูแลจัดสรรทรัพยากรเพื่อการผลิต และการทำกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย และเกิดการตัดสินใจมาลงทุนมากขึ้น โดยแนวทางการสร้างนิเวศน์สำหรับนักลงทุน มีแนวทางสำคัญ ได้แก่ การสร้างเครื่องมือทางการเงินให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย และการทำให้ซัพพลายเชนในประเทศไทยสามารถรองรับนักลงทุนได้ เพื่อให้ผู้ประกอบการในไทยได้ประโยชน์จากการลงทุน
ความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากจะเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการพื้นที่ EEC และช่วยยกระดับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ในภาคอุตสาหกรรมไทย จากการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงกองทุนส่งเสริม และการร่วมมือที่จะช่วยผลักดันในเกิดการลงทุนจากนักลงทุนด้วยการสร้างนิเวศน์สำหรับนักลงทุน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ Startup ให้เข้าถึงเงินทุน จนสามารถนำไปต่อยอดเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ และจะนำมาซึ่งการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกต่อไปในอนาคต