ประคุณ เลาหกิตติกุล ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย Aruba บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise กล่าวว่า ในปี 2021 นี้เรากำลังก้าวไปสู่ยุคของ Intelligent Edge ซึ่งมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อ Industry, Retail และ Manufacturing โดยสถานการณ์ COVID-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้มีการ Adopt ไปสู่ Intelligent Edge เร็วยิ่งขึ้น เช่น Industry มีการใช้หุ่นยนต์มากขึ้น และใช้แรงงานคนลดลดลง ส่วน Banking ลดจำนวนสาขาและจำนวนคน ด้าน Retail เปลี่ยนจากการขายหน้าร้าน (Offline) เป็น Online และ Education เปลี่ยนจากการสอนในห้องเรียนเป็นแบบ Online
ในช่วงเวลาที่ COVID-19 ยังคงแพร่ระบาดอยู่ ฝ่าย IT จะต้องออกแบบ Intelligent Edge และวางแผนให้ระบบเหล่านี้สามารถช่วยตอบโจทย์ธุรกิจองค์กรในการรองรับการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) และรองรับความสามารถอื่น ๆ ที่จะช่วยให้พนักงานกลับมาทำงานที่บริษัทได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ รวมถึงตอบรับการทำ Business Continuity ให้กับธุรกิจได้อีกด้วย
เมื่อโลกก้าวสู่ยุคหลังการแพร่ระบาดแล้ว Intelligent Edge และการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง จะทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถเพิ่มความสามารถในการรักษาความมั่นคงปลอดภัย, การรวบรวมวิเคราะห์ข้อมูล และเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ เทคโนโลยี เพื่อรองรับต่อการปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้ธุรกิจยังคงประสบความสำเร็จได้ในยุคที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ในปีพ.ศ.2564 อรูบ้า (Aruba) มองเห็นเทรนด์หลักของระบบ Network 4 ประการ ซึ่งจะเข้ามาช่วยผลักดัน หรือในทางตรงกันข้ามอาจเป็นอุปสรรคที่เข้ามาชะลอแผนด้าน IT ขององค์กร ประกอบด้วย 1. การเกิดขึ้นของการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Workforce) และพัฒนาการต่อไปในระหว่างและหลังการแพร่ระบาด 2.บทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบเครือข่ายที่ต้องครอบคลุมทุกส่วนบนระบบเครือข่าย 3.ความเปลี่ยนแปลงตัวชี้วัดการทำงานของระบบเครือข่าย จากระยะเวลาที่เครือข่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปสู่ความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ด้วยการวิเคราะห์ระบบเครือข่ายแบบองค์รวมในฐานะของส่วนหนึ่งภายใต้เทคโนโลยีที่ใช้งานทั้งหมด และ 4.การนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการดูแลการดำเนินงานของระบบเครือข่ายมากขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจาก LAN, WAN และ Cloud
ประคุณ กล่าวว่า สำหรับเทรนด์แรก การทำงานจากที่บ้าน จะต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่า แบ่งออกเป็น 3 เฟสด้วยกัน คือ เฟสแรก Secure Work Remote เพื่อให้ธุรกิจปลอดภัย การปรับ Facility ในการทำงาน จะมีโซลูชั่นการทำงานให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้าน เอื้อให้ Remote Worker สะดวกในการทำงานนอกสถานที่ โดยใช้อุปกรณ์ระดับ Enterprise ในส่วนของซอฟต์แวร์ต้องมีโซลูชันให้สามารถทำงานร่วมกันกับที่บ้านได้ ซึ่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยจากการทำงานนอกสถานที่ และด้านสภาพแวดล้อมทาง IT Resource ด้วยจำนวนโซลูชันเพิ่มมากขึ้น Tools ที่ใช้จัดการ Remote Worker จะต้องใช้งานง่าย เพื่อให้ User Experience สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ “อรูบ้ามี Remote Access Point ที่สามารถเสียบ Router พร้อมปล่อยสัญญาณ wifi ให้ผู้ใช้ได้ประสบการณ์เหมือนอยู่ Enterprise เหมือนทำงานอยู่ที่บริษัท และมีโซลูชั่นซอฟต์แวร์ พร้อมเชื่อมต่อเครื่องข่ายที่มีความเป็นส่วนตัว (Virtual Private Network :VPN) สามารถให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ เช่น ทำงานที่ร้านกาแฟ Starbucks โดยที่พนักงานยังสามารถเข้าถึงข้อมูลจากส่วนกลางได้ตลอดเวลา และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ Policy เหมือนเดิม” ประคุณ กล่าว
เฟส2 การกลับมาทำงานที่บริษัท (Return to Office) ซึ่งแน่นอนว่ารูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไป จะต้องมีการรักษาระยะห่าง (Social Distancing) ให้พนักงานรู้สึกปลอดภัย อรูบ้ามี Location Awareness สามารถให้ผู้ใช้รู้ Contact และ Location Tracking ที่สามารถ Track ว่าผู้ใช้อยู่ที่ไหน ติดต่อใครบ้าง รวมทั้งมีโซลูชัน Contact Tracing หากผู้ใช้มีความเสี่ยงจำเป็นต้องกักตัว ก่อนส่งไป State Quarantine
เฟส3 การทำงานแบบไฮบริด ( Hybrid Workforce) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างพนักงานที่มี Office Worker ซึ่งมีชั่วโมงการทำงานมาก และพนักงานที่มี Edge Worker ที่ทำงานนอกสถานที่ โดยที่แต่ละบริษัท จะต้องหาจุดที่เหมาะสม ทั้งนี้การทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Workforce) จะคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสถานการณ์ COVID-19 จะสิ้นสุดลงก็ตาม โดยที่การทำงานแบบไฮบริด ผสมผสานการทำงานจากที่บ้าน ทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป โดยที่บ้านจะกลายเป็นสาขาของบริษัท ทำให้ Facility ต่างๆ ของบริษัท เปลี่ยนแปลงไป มีการยุบตึกหลายตึก และใช้พื้นที่ทำงานในบริษัทน้อยลง ในส่วนของ HPE มีการเสริม Collaboration Area ไม่จำเป็นต้องมีโต๊ะทำงานประจำ
สำหรับเทรนด์ที่ 2. ความมั่นคงปลอดภัยที่ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด จาก Endpoint ไปยัง the Edge ไปจนถึง the Cloud จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ IoT (Internet of Things) ทำให้ระบบ Cloud เติบโตอย่างเต็มที่และเกิดการขยายตัวของ Edge Networking ซึ่งมีจำนวนอุปกรณ์และเซนเซอร์ที่เชื่อมต่อเข้ามาที่จุด Endpoint เพิ่มจำนวนมากขึ้นหลายพันตัว ทั้งนี้จะต้องมีการ Embed ระบบความปลอดภัยในอุปกรณ์ทุก ๆ เครื่อง ดังนั้นการออกแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรมระบบเครือข่าย โดยกำหนดวิธีการ และสร้างระบบความมั่นคงปลอดภัย จึงกลายเป็นส่วนที่มีความสำคัญมาก ไม่ได้เป็นแค่เพียงส่วนเสริมของระบบ IT ในองค์กรอีกต่อไป
โดยโซลูชันสถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบ Zero Trust ของอรูบ้า จะยังคงเป็นแกนหลักของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพด้วยระบบงาน IT แบบเดิมที่ย้ายออกจาก Edge ไปสู่สภาพแวดล้อมระบบคลาวด์หรือ SaaS แทน
รวมถึงมีการใช้งาน OT/IoT Workloads เกิดขึ้นที่ Edge อย่างมากมาย โดยทุก ๆ การต่อเชื่อมจะต้องมีการแสดงตัวตน จากอุปกรณ์และผู้ใช้ รวมทั้ง Policy ที่จะต้อง Apply ด้วย
ประคุณ กล่าวว่า ส่วนเทรนด์ที่ 3 ความพึงพอใจของผู้ใช้คือเป้าหมายสูงสุด (User Experience) ปัจจุบันการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน บริษัท และการทำงานนอกสถานที่จะมีความเป็น Dynamic มากขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานและลูกค้าไปพร้อม ๆ กัน ระบบ Aruba AIOps ใน Aruba ESP จะเข้ามาช่วยให้ฝ่าย IT วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ๆได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น ลดความผิดพลาด แก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ฝ่าย IT สามารถไปทำงานในเชิงรุกที่มีคุณค่ามากขึ้นได้ แทนที่จะต้องเสียเวลาไปกับการตรวจสอบแก้ไขปัญหาในระบบเครือข่ายอย่างในอดีต
“เมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาช่วย ทำให้พนักงานสามารถหากลยุทธ์ทางการตลาดแทนที่จะสนใจเทคโนโลยีเหมือนเช่นเคย โดยระบบ Aruba AIOps จะให้ Machine มา Monitor เรียนรู้และเปรียบเทียบโดยอัตโนมัติ สามารถจ่ายค่าบริการเป็น as a service โดยจ่ายเป็นรายเดือน สามารถลด Block หน้างานได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระการลงทุนพอสมควรราว 30% อีกทั้งยังลดจำนวนคน และระบบมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI ) เข้ามาตอบโจทย์ Network ไม่ว่าจะเป็นการทำงานและปรับจูนโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ จะต้องพิจารณาโซลูชันที่มี AI มากขึ้น” ประคุณ กล่าว
สุดท้าย เทรนด์ที่ 4 การนำระบบอัตโนมัติมาใช้จัดการการดำเนินงานของระบบ Network ให้มากขึ้น ผู้ดูแล Network จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการแก้ไขปัญหา Silo ของระบบ ซึ่งทำให้องค์กรนั้นต้องมีระบบ Server, Storage, Virtualization, DevOps. SecOps และ AIOps สำหรับแต่ละภาคส่วนแยกขาดจากกัน ช่วยให้หลายฝ่ายเกิดความร่วมมือกัน และสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นได้ท่ามกลางภาวะวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้
ด้วยสภาพแวดล้อมของ Edge คือ ทั้ง LAN และ WAN ซึ่งไม่ได้อยู่ในการควบคุมของ IT โดยสิ้นเชิง แต่ขึ้นอยู่กับรูปแบบพฤติกรรมของมนุษย์และอุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การใช้ประโยชน์จาก AI และ Machine Learning เพื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทันที และตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นในทันที นับเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ในปีพ.ศ. 2564 โซลูชันที่มีองค์ประกอบของการเรียนรู้แบบอัตโนมัติที่ Edge จะเติบโตขึ้นมาก
ประคุณ กล่าวว่า สำหรับเทรนด์ทั้ง 4 ที่กล่าวมาข้างต้น สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ด้วยภาวะวิกฤต COVID -19 ส่งผลให้มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมากมายในทุกภาคอุตสาหกรรม เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่เปลี่ยนไปและให้สามารถแข่งขันต่อไปได้
อรูบ้าได้พัฒนาระบบ Network ทั้งในส่วนของ แคมปัส ดาต้าเซ็นเตอร์ และ SD-WAN โดยคำนึงถึงความท้าทายใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับเทรนด์ของการใช้งาน รวมถึงความท้าทายทางการลงทุนในระบบ Network เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานและดูแลระบบ Network จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และพร้อมก้าวสู่ยุค Intelligent Edge ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เข้าไปชมคลิปเพิ่มเติมได้ที่ http://gofile.me/5k2Hp/5ymzDOUn7