สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดเวทีระดมสมองวิเคราะห์สถานภาพการบริหารจัดการ ช่วงว่าง ความต้องการงานวิจัยและนวัตกรรม หวังปฏิรูปโครงสร้าง ระบบ และเทคโนโลยี เพื่อบูรณาการบริหารจัดการน้ำเชิงระบบของประเทศอย่างยั่งยืน เตรียมความพร้อมรับมือภาวะโลกร้อน
10 เมษายน 2566 : รศ. ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดการประชุมหารือการจัดการทรัพยากรน้ำในประเทศไทย ครั้งที่ 1 ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อรับฟังสถานภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและช่องว่าง ความต้องการงานวิจัยและนวัตกรรม รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือร่วมกับนักวิจัย หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยการสำรวจช่องว่างของข้อมูล ความรู้ การบริหารจัดการทั้งเทคโนโลยี มาตรการทางเศรษฐกิจ หรือกลไกทางสังคม เพื่อหาแนวทางนำความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรมการจัดการน้ำจากการวิจัยในระดับต่าง ๆ ที่ตรงกับความต้องการไปสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ได้ รวมถึงการกำหนดทิศทางการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพิ่มเติมในระยะ 5-10 ปี เพื่อยกระดับนวัตกรรมและแนวทางการจัดการน้ำทั้งระดับนโยบาย ระดับภูมิภาค ระดับลุ่มน้ำ หรือระดับชุมชนท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาการจัดการน้ำที่ รวมถึงการเตรียมการรับมือกับภาวะโลกร้อน เพื่อนําไปสู่การวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเชิงระบบของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ฉวี วงศประสิทธิพร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช.ต้องการเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่อาจเริ่มตั้งแต่ฐานราก นำภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้และต่อยอด หรือเทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมที่นำมาใช้บริหารจัดการน้ำ จะต้องเข้าถึงประชาชนได้ง่ายในราคาที่เหมาะสม ให้หน่วยงานของรัฐและประชาชนมีส่วนร่วม และปรับใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น เช่น เทคโนโลยีการปรับปรุงคุณภาพน้ำ ระบบจ่ายน้ำที่มีประสิทธิภาพ ความมั่นคงของน้ำ การวิจัยเชิงประยุกต์ด้าน BCG เสริมกับการประหยัดน้ำเพื่อเป็นต้นแบบการเพิ่มมูลค่าผลิตภาพน้ำ โรงเรือนอัจฉริยะที่ควบคุมน้ำ ดิน ปุ๋ย อย่างแม่นยำที่มีต้นทุนที่เข้าถึงได้และประหยัดเงินประหยัดน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำโดยเฉพาะน้ำใต้ดิน โดยเฉพาะร่วมกับน้ำใต้ดิน เป็นต้น
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงความจำเป็นของการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เนื่องจากปัญหาความมั่นคงด้านน้ำ คุณภาพน้ำ และภัยพิบัติ รวมถึงความท้าทายใหม่ทั้งการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการใช้ที่ดินกับวิกฤตน้ำท่วม-น้ำแล้ง ตลอดจนความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เมือง และการเปลี่ยนแปลงการปลูกพืช ทั้งนี้ประเทศไทยมีช่องว่างและจุดอ่อนของระบบ โครงสร้าง และกฎหมายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยช่องว่างสำคัญคือ ในยามปกติไม่มีระบบบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่เหมือนเช่นประเทศ และจุดอ่อนด้านการจัดการวิกฤตน้ำ ไม่มีเครื่องมือ ศักยภาพและพนักงานในการจัดทำแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้ง-น้ำท่วมล่วงหน้า จึงเสนอให้มีกระทรวงทรัพยากรน้ำที่ติดอาวุธใหม่ 4 ชนิด คือ 1) จัดตั้งองค์กรอัจฉริยะสำหรับทรัพยากรน้ำ เพื่อวิเคราะห์อุปสงค์-อุปทาน นวัตกรรมจัดการน้ำและรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ 2) กองทุนทรัพยากรน้ำ เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม 3) Sandbox เพื่อทดลองรูปแบบการบริหารจัดการใหม่และแก้ปัญหาข้อจำกัดของกฎระเบียบและความแตกต่างของลุ่มน้ำให้มีความมั่นคงและธรรมาภิบาล 4) กลไกทางเศรษฐกิจและเครื่องมือที่ไม่ใช่ราคา เช่น การมีส่วนร่วม
รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ประธานแผนงานวิจัยเข็มมุ่งการจัดการน้ำ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่าประเด็นสำคัญของการจัดการน้ำเชิงระบบต้องมีปฏิสัมพันธ์และบูรณาการในบริบทรับต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การแปรปรวนของสภาพการเมืองทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังต้องพัฒนาเครื่องมือที่หลากหลายและยืดหยุ่นในเชิงโครงสร้าง กฎระเบียบ และบริหารการเงิน รวมถึงเทคโนโลยีที่เร่งรัดกระบวนการ การพัฒนากำลังคน ซึ่งแผนงานวิจัยคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเกษตรทันสมัย พื้นที่ท่องเที่ยวและพื้นที่สำคัญได้เร็วยิ่งขึ้น ลดความเสียหายและความเสี่ยงจากน้ำท่วมน้ำแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดการน้ำชุมชนมีประสิทธิผลมากขึ้น เกิดการบริหารจัดการน้ำที่มีธรรมาภิบาล เพื่อบริการประชาชนได้ดีขึ้น ประหยัดงบ กำลังคน และตอบสนองเป้าหมายในระยะยาวที่ได้ผลทั้งเชิงระบบและแบบบูรณาการ โดยมีโครงการสำคัญคือ เดลต้าเจ้าพระยา 2040 โครงการพัฒนาน้ำชุมชน การจัดการด้านความต้องการน้ำ และการเงินสำหรับน้ำ
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวถึงบทบาทและกลไกของการวิจัยและนวัตกรรมต่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปองค์กรและระบบการบริหารจัดการด้านน้ำ โดยจัดตั้งกระทรวงทรัพยากรน้ำเพื่อแก้ไขและพัฒนาระบบอย่างก้าวกระโดด ซึ่งการบริหารจัดการน้ำจะต้องประเมินความจำเป็นของเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งประเมินความสำคัญของเทคโนโลยีและผลกระทบสำหรับแหล่งเงินทุนต่างประเทศ รวมถึงการประเมินความพร้อมและศักยภาพของประเทศ ต้องมีงานวิจัยและนวัตกรรมเรื่องน้ำที่ตอบโจทย์ได้จริงและทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น พัฒนานวัตกรรมแก้ปัญหาปลายทางให้มีน้ำดีมีคุณภาพและรองรับวิกฤตน้ำท่วม-น้ำแล้งอย่างทันการณ์ รวมถึงมิติอื่น ๆ อาทิ ที่ดิน คุณภาพดิน
“การขับเคลื่อนในขั้นตอนต่อไป คือ การทำงานในลักษณะเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและนอกระบบวิจัย และเครือข่ายงานวิจัยในพื้นที่ สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก ธนาคารโลก และสถาบัน Deltares เนเธอร์แลนด์ โดยจะจัดทำแผนที่นำทางพัฒนาการบริหารจัดการน้ำระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ สกสว.กำหนดทิศทางการวิจัยเรื่องน้ำ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนำแผนดังกล่าวไปบริหารจัดการน้ำของประเทศร่วมกัน” ผู้อำนวยการ สกสว.กล่าวสรุปทิ้งท้าย