กรุงเทพฯ – 8 มีนาคม 2565 – ด้วยผลกระทบและการเผชิญหน้าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ต้องการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จึงร่วมกับ HUBBA พันธมิตรรายใหม่ ซึ่งเป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์มนวัตกรรมและผู้ประกอบการรายแรกของประเทศไทยที่ได้ให้คำแนะนำสนับสนุนผู้ประกอบการมามากกว่า 2,000 ราย อาทิ Bitkub ยูนิคอร์น รายที่สองของประเทศไทย ในโครงการ Smart Business Transformation หรือ SBTP ประจำปี 2565 เพื่อแบ่งปันเทรนด์และข้อมูลเชิงลึกในเรื่องการปรับองค์กรและธุรกิจสู่ดิจิทัล โดยเปิดรับ SME 200 รายเข้าร่วมโครงการ หลักสูตร 3 เดือน ทั้งหมด 8 หลักสูตร โดยเน้นให้ความรู้เชิงการทำธุรกิจแบบยั่งยืน (Sustainability) การบริหารจัดการองค์กร และอัปเดต Global Trend ให้สามารถนำมาปรับใช้ในธุรกิจ
สิรินันท์ จิรดิลก ผู้อำนวยการอาวุโส Digital Engagement and FinTech Innovation ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า การระบาดของ COVID-19 ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้เน้นย้ำให้ธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ดิจิทัล จากผลสำรวจของเรา พบว่า SME มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เน้นไปที่การปรับตัวเป็นดิจิทัล การตลาดดิจิทัล และการส่งมอบประสบการณ์แก่ลูกค้าเพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน
“ผลสำรวจของธนาคารยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยมากกว่าหนึ่งในสอง เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความคงทนยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่จะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของลูกหลานพวกเขาในอนาคต ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ความเป็นดิจิทัลมีความสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาว สิ่งสำคัญที่ SME ต้องตระหนักคือการผสานความยั่งยืนเข้าไปในกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเสริมประสิทธิภาพรากฐานทางธุรกิจของพวกเขา” สิรินันท์ กล่าว
โครงการ Smart Business Transformation หรือ SBTP ริเริ่มขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 เพื่อสนับสนุนและพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในประเทศไทยให้สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ดำเนินงานโดย The FinLab หน่วยงานบ่มเพาะนวัตกรรม (Innovation Accelerator) ภายใต้ธนาคารยูโอบี พร้อมด้วยองค์กรพันธมิตรชั้นนำได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ซึ่งพันธมิตรเหล่านี้ได้ให้การสนับสนุนโครงการ SBTP มาโดยตลอดในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
ในปีพ.ศ.2562 ซึ่งมีการเปิดตัวโครงการฯ อย่างเป็นทางการ มีผู้ประกอบการ 15 บริษัทเข้าร่วมโครงการฯ ด้วยวิธีบ่มเพาะความรู้แบบเชิงเข้มข้น เจาะลึกจากผู้เชี่ยวชาญ และผู้พัฒนาเทคโนโลยีหลากหลายสาขา รวมถึงให้ความช่วยเหลือแบบ High Touch ในการแนะนำโซลูชันที่เหมาะสม จนสามารถนำไป Implement และใช้ได้จริง โดยผู้ประกอบการทั้ง 15 บริษัทได้นำเทคโนโลยีและดิจิทัลโซลูชันต่างๆ ไปใช้งาน เพื่อปรับและขับเคลื่อนองค์กรสู่ดิจิทัล ซึ่งได้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกที่สำคัญ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจ ลดต้นทุนต่างๆ สร้างทัศนคติและความคิดดิจิทัลให้เกิดขึ้นในองค์กร พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการขยายธุรกิจสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ.2563 – 2564 ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โครงการจึงได้ปรับรูปแบบใหม่ให้เป็นแบบออนไลน์ทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือ SME แบบไร้ขีดจำกัดทั่วประเทศ ให้เป็นแนวทางในการเรียนรู้ และปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลได้ตามที่ต้องการ โดยจัดสัมมนาออนไลน์ที่เรียกว่า The FinLab Online ทั้งหมด 59 ครั้ง เข้าถึงผู้ประกอบการ SME ทั้งหมด 6,567 ราย เข้าใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ 4,033 รายและนำเทคโนโลยีไปใช้ทั้งหมด 586 ราย ทำให้ ผู้ประกอบการสามารถปรับธุรกิจสู่ดิจิทัลได้ต่อเนื่อง สามารถรับมือกับวิกฤต COVID-19 ปรับใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีใหม่ที่สอดคล้องกับการดำเนินการ พร้อมทั้งต่อยอดธุรกิจออกไปในตลาดต่างประเทศได้อีกด้วย
จากผลสำรวจ ASEAN SME Transformation Study ของธนาคารยูโอบี พบว่า 60 % ของ SME เน้นปรับธุรกิจสู่ดิจิทัล โดย SME เห็นถึงความจำเป็นในการปรับธุรกิจสู่ดิจิทัล ซึ่งจะช่วยพัฒนาธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
สิรินันท์ กล่าวว่า ในปี พ.ศ.2565 สถานการณ์ COVID-19 ลดความรุนแรงลง แต่ยังคงมีความต่อเนื่องในการแพร่ระบาด และอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากการเป็นโรคระบาดไปสู่การเป็นโรคติดต่อทั่วไป หรือโรคประจำถิ่น โครงการฯ ในปีนี้ จึงมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือ SME ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัล พร้อมให้ความรู้และทักษะจำเป็น ต่อการขับเคลื่อนธุรกิจที่มุ่งสู่การเติบโตในระยะยาวและยั่งยืน ซึ่งจะเป็นความได้เปรียบทางธุรกิจ โดยปีนี้ โครงการฯจะจัดอบรมต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน เปิดรับ SME 200 ราย เข้าร่วมโครงการเท่านั้น โดยเน้นให้ความรู้เชิงการทำธุรกิจแบบยั่งยืน (Sustainability) การบริหารจัดการองค์กร และอัปเดต Global Trend ให้สามารถนำมาปรับใช้ในธุรกิจ โดยจะมี Mentoring ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ให้ความสำคัญในการทำ Digital Marketing ต่อยอดให้ความรู้กว้างขวางไปถึง Future Digital Marketing ซี่งเหมาะกับกลุ่มธุรกิจรายย่อยและรายกลางบางราย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มที่ยังมีความต้องการรับการสนับสนุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนพลาดโอกาสในการเข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้ SME 200 รายจะได้รับคำแนะนำและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน การบูรณาการหลักการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน รวมถึง แนวคิดการบริหารองค์กรที่สนับสนุนความหลากหลายและยอมรับความแตกต่างของพนักงานเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดเหล่านี้นับเป็นสิ่งจำเป็นในการบรรลุความสำเร็จขององค์กรและพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ นอกจากนี้ SME ยังจะได้เรียนรู้ทักษะดิจิทัลในด้านต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ การปรับโครงสร้างธุรกิจ การตลาดดิจิทัล และการพัฒนาด้านลูกค้า และเข้าถึงโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถช่วยพวกเขาเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันทางธุรกิจ
“ความพิเศษของโครงการฯ ในปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ยังมีอยู่ จึงอยากทำหลักสูตรเจาะลึกกว่าเดิมมากกว่า 2 ปีที่แล้ว ทั้งหมด 8 หลักสูตร ความแตกต่างทำโครงการแบบไฮบริด รวมทั้ง Webinar ทำทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้าง สามารถเข้ามาได้อย่างแตกต่างกัน” สิรินันท์ กล่าว
นับตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการในปี พ.ศ.2562 จนถึงปัจจุบัน โครงการ SBTP ได้รับความสนใจจาก SME ในประเทศไทยมากกว่า 4,000 ราย โดยมี SME มากกว่า 600 รายที่นำเทคโนโลยีไปปรับใช้เพื่อช่วยพัฒนาการตลาด (Front-end) และกระบวนการทำงานหลังบ้าน (Back-end) ทั้งนี้คาดว่าภายใน 5 ปีจะมี SME ในประเทศไทยให้ความสนใจราว 8,000 ราย
ชาล เจริญพันธ์ CEO & Co-Founder HUBBA กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 HUBBA ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น ผ่านเครือข่ายและการบ่มเพาะทางธุรกิจเพื่อให้ผู้ประกอบการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมตอบโจทย์ของตลาดและประสบความสำเร็จออกสู่ตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และจากการระบาดของ COVID-19ที่ผ่านมา เราได้สังเกตการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและพบว่านี่คือโอกาสของ SMEs ที่จะปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจและกลยุทธ์ในการทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า ยิ่งธุรกิจสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกได้มากขึ้นเท่าใด ความได้เปรียบในการแข่งขันทางการตลาดก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
“นอกจากการปรับตัวสู่ดิจิทัลแล้ว เราพบว่า SME ยังต้องการคำแนะนำในด้านการบริหารองค์กรและทรัพยากรบุคคลด้วย จากการที่เราเห็นเจ้าของธุรกิจจำนวนมากต้องเผชิญปัญหาด้านนี้ เราจึงรวบรวมเอาหลักสูตรการฝึกอบรมในด้านการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมองค์กรเข้ามา เนื่องจากเรื่องนี้มีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อทัศนคติและแรงจูงใจของพนักงานซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า” ชาล กล่าว
วีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ประกอบการ SME ประมาณ 3.2 ล้านราย ส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนพวกเขาให้มีศักยภาพสูงขึ้นและสามารถแข่งขันในตลาดต่อไปได้ คือการได้ประชาสัมพันธ์ให้พวกเขาเข้าร่วมโครงการ SBTP ซึ่งเปรียบเสมือนช่องทางด่วนพิเศษในการพัฒนาทักษะดิจิทัล เร่งความสามารถในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และเข้าถึงการให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
เดิมทีผู้ประกอบการ SME ไม่ถึงครึ่งที่ใช้ระบบ e-payment พอเกิดสถานการณ์ COVID-19 ผู้ประกอบการต้องปรับตัว ทั้งนี้อยู่ที่การเลือกใช้ Tool ที่เหมาะสม จริงๆ จะเห็นได้ว่า SME มีความสนใจมากขึ้น
เฉลิมพล ตู้จินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี ของความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย โครงการฯ ประสบความสำเร็จในการสนับสนุน SME ไทยจำนวน 35 ราย ให้มีแนวคิดในการปรับปรุงพัฒนาธุรกิจด้วยนวัตกรรม และสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท และคาดว่าจะเกิดการลงทุนจากภาคเอกชนเพิ่มขึ้นกว่า 20 ล้านบาท ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ITAP สวทช. ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนไปแล้ว 5 ล้านบาท โดยเป็นการช่วยเหลือร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา เพื่อช่วยเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลให้กับองค์กร
ฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาความร่วมมือกว่า 3 ปีของ depa กับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลของ SME รวมถึงการขยายโอกาสทางการตลาดสำหรับผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีชาวไทย เราเชื่อว่า SME ที่เข้าร่วมไม่เพียงสามารถปรับตัวเข้ากับโซลูชันที่เป็นดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน SBTP เท่านั้น แต่โครงการยังเปิดกว้างสำหรับโอกาสในการจับคู่ทางธุรกิจระหว่าง SMEs และผู้ให้บริการโซลูชัน การสร้างเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลได้
การที่ธุรกิจจะอยู่รอด มี 3 ประเด็นสำคัญ คือ 1. Speed ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว สินค้าตอบโจทย์ตลาด ปรับแผนธุรกิจให้ยืดหยุ่น และรับฟังความเห็นลูกค้า 2. Digital มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อจัดการต้นทุน สต็อก รวมทั้งการทำ Shelf และ Inventory เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และ 3. Differentiation สร้างจุดขายให้แตกต่างจากคู่แข่ง ทั้งรูปแบบของสินค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย และภาพลักษณ์ที่มีต่อลูกค้า
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ SME ที่มีความสนใจต้องการปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ดิจิทัลเพื่อให้แข่งขันได้ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ SBTP ได้ที่ www.facebook.com/uob.th หรือ https://thefinlab.com/th/thailand จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565
หมายถึงธุรกิจสตาร์ทอัปที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
2 แหล่งข้อมูล: UOB ASEAN SME Transformation Study 2021 and UOB ASEAN Consumer Sentiment Study 2021