บราเดอร์ ประกาศความพร้อมเพิ่มสินค้าใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดส่งเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท A3 มัลติฟังก์ชัน 4 รุ่นใหม่ รุกตลาดชิงจังหวะตลาดปรับตัวจากรวมศูนย์สู่การกระจายศูนย์การทำงานคาดกลุ่มสินค้าใหม่ครั้งนี้ ช่วยผลักดันยอดขายช่วงครึ่งปีหลังให้เติบโตขึ้น
ธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยถึงภาพรวมตลาดเครื่องพิมพ์ของประเทศไทยช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ว่า สถานการณ์โดยรวมน่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกรวมถึงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ COVID–19 และอีกปัจจัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือการกลับมาของกลุ่มลูกค้าองค์กร หลังจากช่วง COVID–19 ตลาดจะมุ่งไปที่กลุ่มโฮมยูสเป็นหลักเพื่อตอบโจทย์การทำงานแบบ Work from Home และการเรียนออนไลน์
“ช่วงที่ผ่านมาตลาดเครื่องพิมพ์โดยรวมเกิดปัญหาขาดแคลนสินค้า แต่ปัจจุบันสถานการณ์การผลิตดีขึ้น ทำให้ตลาดโดยรวมกลับมาเป็นปกติทั้งกลุ่มโฮมยูส โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าส่วนราชการที่จะปิดงบในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดเครื่องพิมพ์ในไทยเติบโตอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลังนี้” ธีรวุธ กล่าว
บราเดอร์ คาดการณ์ว่าตลาดเครื่องพิมพ์ทุกกลุ่มในไทยมีแนวโน้มสดใสในปี 2565 รวมทั้งกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท A3 มัลติฟังก์ชันที่บราเดอร์ครองแชมป์ส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ตั้งแต่ปี 2551 และครองตำแหน่งผู้นำตลาดมาตลอด 14 ปี (2008-2022) จนถึงปัจจุบัน (เดือนม.ค.-มิ.ย.2565) ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 49%
ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่หลายองค์กรต่างให้ความสำคัญด้านการบริหารต้นทุนอย่างมีศักยภาพ ความครบครันของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท A3 มัลติฟังก์ชันของบราเดอร์ จึงถูกใช้เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ายิ่งกว่าเพราะสามารถใช้งานได้ครบทั้งพิมพ์ ถ่ายเอกสาร และสแกน จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่จะสร้างการเติบโตให้แก่บราเดอร์ได้
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบราเดอร์มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญอย่างมากด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่าง ชาญฉลาด ทนทาน สะดวก และครบครัน ตอบทุกฟังก์ชันที่ภาคธุรกิจต้องการ และที่สำคัญต้องประหยัดต้นทุนการพิมพ์พร้อมทั้งยังพัฒนาคุณภาพการพิมพ์ให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ทั้งหมดนี้จึงเป็นความแข็งแกร่งที่ส่งผลให้บราเดอร์เป็นที่หนึ่งในการเลือกซื้อเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท A3 มัลติฟังก์ชันของกลุ่มลูกค้าในเมืองไทย”ธีรวุธ กล่าว
ด้านทิพยา ไตรเสถียรกุล ผู้จัดการอาวุโสแผนกธุรกิจเครื่องพิมพ์ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
บราเดอร์ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ดังนั้นการออกแบบผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ของบราเดอร์ไม่เพียงแต่โดดเด่นด้านฟังก์ชันการใช้งานเท่านั้น ด้านการดีไซน์รูปลักษณ์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะบราเดอร์ได้เก็บทุกพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มลูกค้า มาเป็นแนวทางในการออกแบบเพื่อให้ใช้งานได้สะดวก จัดวางได้อย่างประหยัดพื้นที่ และกลมกลืนกับทุกพื้นที่ที่ถูกนำไปจัดวางได้อย่างลงตัว
ล่าสุดบราเดอร์ได้จดเทคโนโลยีใหม่ภายใต้ชื่อ MAXIDRIVE ที่ช่วยเพิ่มการฉีดหมึกและเพิ่มความทนทานให้แก่หัวพิมพ์ ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพการพิมพ์ให้เร็วมากยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบันเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทของบราเดอร์มีอัตราการพิมพ์ที่เร็วที่สุดในตลาดที่ 28 ภาพต่อนาที สามารถพิมพ์ได้สูงสุด 2 แสนแผ่นจากเดิมที่ 100,000 แผ่น และยังสามารถพิมพ์ Long Paper ได้ยาวถึง 1.2เมตรได้อีกด้วย
นอกจากนี้ บราเดอร์ยังมีเทคโนโลยี AUTO DETECTION ที่คอยตรวจสอบหัวพิมพ์ของเครื่องอยู่เสมอว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในส่วนใด และหากตรวจพบเครื่องก็จะทำการบำรุงรักษาให้ทันที เพื่อให้ได้คุณภาพงานพิมพ์ที่ออกมาดีอยู่เสมอ และลดการใช้หมึกให้น้อยลง
ล่าสุดบราเดอร์ยังได้เผยโฉมแอปพลิเคชันใหม่ ‘BROTHER MOBILE CONNECT’ ที่มีฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมาย อาทิ สามารถ Customize หน้าจอ Home Screen ตามที่ต้องการได้ สามารถเก็บประวัติการสแกนเอกสารเพื่อให้ผู้ใช้งานนำไปบันทึก ส่งต่อ หรือสั่งพิมพ์ได้อีกโดยไม่ต้องสแกนซ้ำใหม่อีกครั้ง พร้อมตรวจเช็คระดับหมึกคงเหลือในเครื่องโดยสามารถระบุเป็นจำนวนแผ่นที่ยังคงสามารถพิมพ์ได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถวางแผนการพิมพ์และสำรองหมึกไว้ใช้ได้ล่วงหน้าอย่างราบรื่นด้วยการคำนวนอย่างอัจฉริยะตามมาตรฐานการพิมพ์งานของ ISO19752 หรือจากการเก็บข้อมูลการใช้งานของแต่ละเครื่องอย่างละเอียด
ทิพยา กล่าวว่า ด้านการออกแบบล่าสุดบราเดอร์ได้ออกแบบให้ที่เปิดเครื่องปรับมาอยู่ตรงกลางบริเวณด้านหน้าพร้อมพัฒนาจุดมือจับให้สามารถเปิดเครื่องได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น บราเดอร์จึงได้เพิ่มรูปสัญลักษณ์ไอคอนการใช้งานรูปแบบต่างๆ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เป็นแค่ข้อความเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้นในการใช้งานตัวเครื่องของบราเดอร์
สำหรับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท A3 มัลติฟังก์ชัน 4 รุ่นใหม่ที่เปิดตัวในครั้งนี้ประกอบด้วย MFC-J2340DW, MFC-J2740DW, MFC-J3540DW และ MFC-J3940DW ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 8,990-18,990 บาท พร้อมจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้ใช้งานเครื่องพิมพ์ A3 ทุกกลุ่ม สถาปนิก งานออกแบบ พีอาร์ เอเจนซี่ และ SME
“ปัจจุบันรูปแบบการทำงานเปลี่ยนจากการรวมศูนย์สู่การกระจายศูนย์การใช้งาน (Decentralized) ทำให้เครื่องพิมพ์แบบมัลติฟังก์ชันเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สูงสุดในปัจจุบัน การเพิ่มเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการใช้งานมากขึ้นก็เป็นตัวเสริมให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นเช่นกัน” ทิพยา กล่าวสรุปทิ้งท้าย