กรุงเทพฯ : กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เร่งส่งเสริมทักษะการบริหารจัดการโลจิสติกส์ในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักและเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ตั้งเป้าลดต้นทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เผยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถช่วยผู้ประกอบการ 50 กิจการ ลดต้นทุนไปแล้วกว่า 600 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าภายในสิ้นปีนี้ ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ไม่น้อยกว่า 1,200 ล้านบาท
ดร.ณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ขณะเดียวกัน ยังสั่นคลอนสถานการณ์พลังงานและห่วงโซ่การผลิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งราคาน้ำมัน ราคาก๊าซ ค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำในกระบวนการผลิต ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาที่สร้างแรงกระเพื่อมต่อระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงสั่งการเร่งด่วนให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) จับตาผลกระทบและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ให้สามารถก้าวข้ามวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น
ดีพร้อม จึงเร่งเดินหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและพลาสติก ยานยนต์และชิ้นส่วน ยางพาราและผลิตภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และเกษตรอุตสาหกรรมให้มีทักษะการบริหารจัดการโลจิสติกส์ภายในองค์กรอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานสากล สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมโยงฐานข้อมูลภายในองค์กรและสามารถใช้นวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน โดยผู้ประกอบการจะสามารถลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ทั้งต้นทุนการถือครองสินค้าคงคลัง (Inventory Holding Cost) ต้นทุนการขนส่งสินค้า (Transportation Cost) และต้นทุนการบริหารจัดการ (Administration Cost)
ดร.ณัฐพล กล่าวถึงการดำเนินงานโครงการดังกล่าวว่า ทางกรมฯ ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ไปให้คำปรึกษาแนะนำ ปรับปรุงประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์แก่ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาหรือมีต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูง เช่น การบริหารจัดการคลังสินค้า การบริหารสินค้าคงคลัง การพยากรณ์ยอดขาย การจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบ และการขนส่งสินค้า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ อาทิ การใช้โปรแกรมจัดเส้นทางขนส่งสินค้า เพื่อลดจำนวนเที่ยวในการจัดส่งสินค้า การใช้โปรแกรมช่วยในการพยากรณ์ยอดขาย เพื่อวางแผนการผลิตและการจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบให้มีความแม่นยำขึ้น หรือการนำโปรแกรมการจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management System) เพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการในคลังสินค้า
ในช่วงครึ่งปีแรกของการดำเนินงานสามารถลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ให้ผู้ประกอบการไปแล้ว 50 กิจการ คิดเป็นมูลค่าต้นทุนที่ลดลงกว่า 600 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2565 จะสามารถลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการได้มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 1,200 ล้านบาท
ดร.ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย