กรุงเทพฯ – ประเทศไทย : VMware ผู้นำด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับซอฟต์แวร์ระดับองค์กร พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยที่แท้จริงที่รวมอยู่ภายใน (Intrinsic Security) ซึ่งจะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถปกป้องธุรกิจให้ปลอดภัยในโลกวิถีใหม่ (New Normal) ซึ่งครอบคลุมบุคลากรที่ทำงานจากที่บ้านและนอกสถานที่ รวมไปถึงระบบคลาวด์ภายในองค์กรและระบบคลาวด์สาธารณะ
โดยโซลูชั่นซีเคียวริตี้ดังกล่าวจะยกระดับการรักษาความปลอดภัยสำหรับระบบคลาวด์สาธารณะและระบบคลาวด์ภายในองค์กร รวมถึงส่วนปฏิบัติงานด้านการรักษาความปลอดภัย และบุคลากรที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ช่วยให้ผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยสารสนเทศ (Chief Information Security Officer – CISO) สามารถจัดการและคุ้มครองดูแลการเข้าถึงแอพต่าง ๆ บนระบบคลาวด์ซึ่งส่งผ่านไปยังอุปกรณ์ทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการสร้างธุรกิจที่ยืดหยุ่น พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในอนาคต
จากรายงานเกี่ยวกับภัยคุกคามทั่วโลกของวีเอ็มแวร์ คาร์บอนแบล็ค (VMware Carbon Black’s Global Threat Report ) ระบุว่า สถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั่วโลกมีความเคลื่อนไหวมากขึ้นสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดย 91% ของบุคลากรฝ่ายรักษาความปลอดภัยทั่วโลกที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าตนเองได้พบเห็นแนวโน้มการโจมตีทางไซเบอร์โดยรวมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่พนักงานทำงานจากที่บ้านกันมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลก 32% พบว่ามีปัญหาช่องว่างที่สำคัญอย่างมากสำหรับความสามารถขององค์กรในการตรวจสอบภัยคุกคามด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ขณะที่กว่า 1 ใน 4 คิดเป็น 28%ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่ามีปัญหาช่องว่างที่สำคัญหรือร้ายแรงในแง่ของการรองรับการทำงานจากที่บ้าน ในสภาพแวดล้อมธุรกิจแบบใหม่ที่มีการกระจัดกระจายสูงมากเช่นนี้ องค์กรธุรกิจจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางเรื่องการรักษาความปลอดภัย เพื่อปกป้ององค์กรจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคนิคและวิธีการที่หลากหลายกว่าที่เคยมีมา เพื่อขู่กรรโชกองค์กร ทำให้การดำเนินงานหยุดชะงัก และแทรกซึมเข้าสู่องค์กร
Matt Bennett รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น VMware Carbon Black กล่าวว่า ในช่วงการระบาดของ COVID-19 มีภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภัยคุกคามจาก Ransomware เติบโตสูงขึ้นถึง 148% เนื่องจากพนักงานทำงานนอกสถานที่ มีการเปิด Provide Access ตามสถานที่ต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้เกิด Pitching Attack การมีเทคโนโลยี 5G สิ่งที่ตามมาคือ IoT (Internet of Things) ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่เปิดช่องทางให้ภัยคุกคามหลุดเข้ามาโจมตีระบบมากขึ้น
ทั้งนี้การปกป้องความปลอดภัยขององค์กรควรทำสร้างให้แข็งแรงจากภายใน เดิมการปกป้องความปลอดภัย มีการใช้ Security Tool ปัจจุบันได้เพิ่มความสามารถในการปกป้องจากภายใน และเพิ่มความฉลาดในการปกป้องตัวเอง ซึ่งจะทำให้ระบบทำงานโดยอัตโนมัติ โต้ตอบมากขึ้น ทำให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันตามสถานการณ์
องค์กรต่าง ๆ มุ่งพัฒนาไปสู่แพลตฟอร์มคลาวด์และการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย และต้องการโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและใช้งานง่าย ด้วยเหตุนี้ VMware จึงเปิดตัว VMware Carbon Black Cloud WorkloadTM ซึ่งให้การปกป้องที่เหนือกว่า ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับการคุ้มครองเวิร์กโหลดที่ทันสมัย เพื่อลดช่องทางการโจมตี และเสริมสร้างสถานะความปลอดภัยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
Matt Bennett กล่าวว่า โซลูชั่นดังกล่าวประกอบด้วยฟีเจอร์การรายงานความเสี่ยงตามลำดับความสำคัญและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเวิร์กโหลดพื้นฐาน รวมไปถึงเทคโนโลยีชั้นนำด้านการป้องกัน ตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคาม เพื่อปกป้องเวิร์กโหลดที่รันอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ช่วลไลซ์ ระบบคลาวด์ภายในองค์กร และระบบคลาวด์แบบไฮบริด โซลูชั่น VMware Carbon Black Cloud WorkloadTM ยังได้ผสานรวมความเชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยของคาร์บอนแบล็ค เข้ากับความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับดาต้าเซ็นเตอร์ของ VMware เพื่อสร้างระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับเวิร์กโหลดที่ โซลูชั่น VMware Carbon Black Cloud Workload บูรณาการเข้ากับ vSphere อย่างกลมกลืน โดยทำหน้าที่เป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบไม่ใช้เอเจนต์ (Agentless) ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและจัดการระบบ และประกอบด้วย Telemetry ต่าง ๆ สำหรับการคุ้มครองเวิร์กโหลดในกรณีการใช้งานที่หลากหลาย โซลูชั่นแบบครบวงจรนี้จะช่วยให้ทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยและฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานสามารถปกป้องเวิร์กโหลดใหม่ๆ และเวิร์กโหลดที่มีอยู่ได้โดยอัตโนมัติในทุก ๆ จุด ตลอดทุกขั้นตอนของการรักษาความปลอดภัย ทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการควบคุมดูแลและผนวกรวมสแต็คด้านไอทีและซีเคียวริตี้เข้าไว้ด้วยกัน
โซลูชั่น VMware Carbon Black Cloud Workload จะให้คุณประโยชน์สำหรับทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยดังนี้
- การตรวจสอบอย่างทั่วถึงเพื่อระบุความเสี่ยงและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเวิร์กโหลด Carbon Black Cloud Workload
มีThreat Analysis Unit ซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning วิเคราะห์ปกป้อง Endpoint เวิร์กโหลด โดยวิเคราะห์เทรนด์ของทั้งสองตัวนี้เพื่อให้แก้ไขปัญหาได้ทันเวลา ช่วยให้ทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยและฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานสามารถทุ่มเทความสนใจไปยังจุดอ่อนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด รวมถึงช่องโหว่ที่พบเห็นได้ทั่วไปในสภาพแวดล้อม เพราะโซลูชั่นนี้ไม่ได้มุ่งเน้นการค้นหาจุดอ่อนให้ได้จำนวนมากที่สุด แต่เป็นการค้นหาจุดอ่อนที่มีโอกาสถูกโจมตีมากที่สุด - การป้องกัน ตรวจจับ และตอบสนองต่อการโจมตีขั้นสูง ทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยมักจะขาดความสามารถในการตรวจสอบและควบคุมภายในสภาพแวดล้อมดาต้าเซ็นเตอร์แบบเวอร์ช่วลไลซ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โซลูชั่น Carbon Black Cloud Workload จะช่วยปกป้องเวิร์กโหลดที่รันอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าว ด้วยการประเมินจุดอ่อนและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเวิร์กโหลด บวกกับเทคโนโลยีการป้องกันไวรัสแห่งอนาคต (Next-Generation Antivirus – NGAV) การตรวจสอบพฤติกรรมของเวิร์กโหลด และการตรวจจับและตอบสนองต่ออุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint Detection and Response – EDR) สำหรับเวิร์กโหลดต่างๆ
- การดำเนินงานที่ง่ายขึ้นสำหรับทีมงานฝ่ายไอทีและฝ่ายรักษาความปลอดภัย แนวทางแบบ Intrinsic ของ VMware เป็นการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่รวมอยู่ภายในระบบเวอร์ช่วล เพื่อปกป้องเวิร์กโหลดในทุก ๆ ที่ และทำให้ทีมงานไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างความปลอดภัยกับความสะดวกในการดำเนินงาน
“ถ้า Focus Carbon Black Cloud WorkloadTM เราเน้นตัว Workload Protection ที่ Carbon Black Cloud WorkloadTM ถูกสร้างไว้ภายใน vSphere ทำให้เราสร้างการรักษาความปลอดภัยได้จากภายใน Infrastructure เอง โดยลูกค้าไม่ต้องหาซื้อเครื่องมือมาเพิ่มเติม ในส่วนนี้ VMware มีโปรแกรมให้แก่ลูกค้า VMware vSphere เพื่อทำ Workload Protection ให้ลูกค้าทดลองใช้ฟรีถึงเมษายน 2021” Matt Bennett กล่าว
ด้วยปัญหาด้านความปลอดภัยมีความสำคัญและความท้าทายเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน องค์กรต่าง ๆ จึงต้องการ “มุมมอง” ที่หลากหลายมากขึ้นสำหรับการตรวจสอบอุปกรณ์ปลายทาง เวิร์กโหลด ผู้ใช้ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ และต้องการแนวทางที่รอบด้านมากกว่าเดิมสำหรับการตอบสนองต่อภัยคุกคาม เนื่องจากเวิร์กโหลดและแอปพลิเคชันต่าง ๆ มีการเชื่อมต่อถึงกันเพิ่มมากขึ้น Extended Detection and Response (XDR) จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ ด้วยการจัดหาแนวทางแบบครบวงจรสำหรับการตรวจจับและตอบสนองต่อกรณีปัญหาด้านความปลอดภัย ซึ่งอาจเกิดขึ้นในหลายๆ ส่วน ตั้งแต่อุปกรณ์ปลายทาง เวิร์กโหลด ไปจนถึงผู้ใช้และเครือข่าย
สำหรับบุคลากรที่ทำงานจากที่บ้านหรือนอกสถานที่ก่อให้เกิดปัญหาท้าทายในหลายๆ เรื่อง เช่น การเพิ่มพนักงานเข้าสู่ระบบ การตรวจสอบและกำกับดูแล การรักษาความปลอดภัย การคุ้มครองพนักงาน และอื่น ๆ เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาท้าทายเหล่านี้และรองรับการทำงานรูปแบบใหม่ในอนาคต องค์กรจำเป็นที่จะต้องพลิกโฉมแนวทางการรักษาความปลอดภัย การให้บริการ และความซับซ้อนในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมไอที
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว VMware จึงได้เปิดตัวส่วนขยายเพิ่มเติมสำหรับ VMware SASE Platform, Workspace Security VDI และ Workspace Security Remote โซลูชั่นใหม่นี้จะรองรับการควบคุมระบบรักษาความปลอดภัยอย่างครบวงจรตามแนวทาง Zero Trust ทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการ โดยอาศัยเทคโนโลยีชั้นนำอย่างเช่น Secure Access Service Edge, Digital Workspace และ Endpoint Security ซึ่งทำงานอย่างสอดประสานกันบนแอปพลิเคชั่น ระบบคลาวด์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งหมด
Matt Bennett กล่าวว่า ในส่วนของการป้องกันตั้งแต่ขั้นตอน Access ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก VMware มีความพร้อมและเทคโนโลยีรองรับ โดยผลิตภัณฑ์ Carbon Black Cloud Workload ที่จะช่วยปกป้องทุก Element ตั้งแต่ต้นทางไปปลายทาง ตอบสนองความปลอดภัยได้มากกว่า รวมทั้ง Digital Workplace ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล
เอกภาวิน สุขอนันต์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท VMware กล่าวว่า คอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์ VMware คือ การสร้างพื้นฐานบน IT Infrastructure ตั้งแต่ป้องกัน ตรวจจับ และตอบสนองโดยอัตโนมัติ ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น ในประเทศไทย มีหลายธุรกิจที่ใช้โซลูชั่นของ VMware มาหลายปี เช่น การแพทย์และสาธารณสุข ค้าปลีก ธนาคารและหน่วยงานภาครัฐ
“ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ไม่มีธุรกิจรายใดที่ Stand Alone ด้วยเหตุนี้ ทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้องจึงมีความเสี่ยงคล้ายๆ กัน และมีโอกาสโดนโจมตีและคุกคามทางไซเบอร์ทั้งหมดในยุค New Normal” ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท VMware กล่าว