อุตสาหกรรมการผลิตต้องการนำนวัตกรรมมาขับเคลื่อนการ Transformation ไปสู่ระบบดิจิทัล แต่มักจะพบกับอุปสรรคของระบบไอทีเดิมๆ ที่ใช้งานอยู่ ทำให้ความสามารถในการ Transformation ต้องสะดุดหยุดลง อย่างไรก็ตาม โอกาสสำหรับอุตสาหกรรมการผลิต ในความพยายามก้าวสู่ดิจิทัลรวมถึงการก้าวสู่ “Industry 4.0” สามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยผู้บริหารต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างคุณค่า โดยนำความคิดริเริ่มด้านการผลิตที่ชาญฉลาด (Smart Manufacturing:SM) เพื่อเพิ่มผลผลิตและสร้างความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ด้วยการลงทุนด้านระบบ Cloudที่รองรับโมเดลธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอนาคต
ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์ ผู้นำด้านระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง กล่าวว่า เศรษฐกิจโดยรวมของไทยในปีพ.ศ.2563 อยู่ในภาวะถดถอยประกอบกับสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ GDP หดตัวค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามคาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจไทยน่าจะ Recovery ได้ค่อนข้างดี
สถานการณ์ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมภาคการผลิต ซึ่งได้รับผลกระทบและความท้าทายใน 2ประเด็นหลัก คือ 1.ต้นทุน ทำอย่างไรให้องค์กรลดค่าใช้จ่าย 2.การเตรียมความพร้อมในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยเทคโนโลยีที่เลือกใช้จะต้องสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน ขณะเดียวกันช่วยองค์กรลดต้นทุน ดังนั้นอุตสาหกรรมการผลิตจะต้องนำเทคโนโลยีการผลิตที่ชาญฉลาด (Smart Manufacturing :SM) มาปรับใช้ โดยเน้นเรื่อง Autonomous เพื่อให้เป็น Automation มากที่สุด ขณะเดียวกันจะต้องนำ Digitalization เข้ามาเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ทั้ง B2B และ B2C เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี ช่วยลดต้นทุน ลดทอนเวลาให้องค์กรนำเสนอผลิตภัณฑ์สู่ตลาดได้เป็นอย่างดี
“ภาพรวมองค์กรที่ต้องการเป็น Smart Manufacturing จะต้อง Consolidate ข้อมูล แอปพลิเคชันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยนำ IT มาใช้ ซึ่งสิ่งที่ IT ต้องมี คือ 1.มีระบบสารสนเทศที่รองรับโมเดลธุรกิจอย่างรวดเร็วฉับไว เพื่อให้เกิด Smart Manufacturing 2.รองรับและทันต่อความต้องการของตลาด 3.ทำให้ระบบ IT สารสนเทศ ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงและภาระในการลงทุนครั้งหน้าที่ต้องใช้เงินมากขึ้น 4.ช่วยประหยัดต้นทุน สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้” ทวิพงศ์ กล่าว
ในบรรดาภาคธุรกิจต่างๆ อุตสาหกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมยานยนต์ ถือเป็นสาขาที่ลงทุนด้าน ITค่อนข้างมาก ติดอันดับ Top 5 โดยนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่สายการผลิต การ Connect กระบวนการผลิต รวมถึงการจัดส่งถึงมือผู้บริโภค
ทวิพงศ์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมการผลิตต่างพึ่งพาชุดแอปพลิเคชั่นธุรกิจที่สำคัญ ๆ เช่น ERP, SCADA ควบคุมเครื่องจักร, CRM, SCM, ระบบการขนส่งและโลจิสติกส์, การเงิน, การบริหารงานบุคคล (HR) และอื่น ๆ เนื่องจากแต่ละกระบวนการเป็น Silo ไม่ได้เชื่อมโยงกัน และเป็นระบบ Manual ค่อนข้างมาก เมื่อระบบเกิดปัญหา ไม่สามารถดูแลได้ทันท่วงที อีกทั้งการจัดการดูแลซ้ำซ้อน ขาดประสิทธิภาพในการรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต ทางออกคือการนำระบบ Cloud เข้ามาใช้ทดแทน ITแบบเดิม เช่น ให้ระบบ ERP, SCADA อยู่บน Cloud เพื่อให้การทำงานเร็วและง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาดูแลอุปกรณ์ และสามารถซื้อเท่าที่ใช้ (Pay per Use) ช่วยให้องค์กรควบคุมค่าใช้จ่ายด้าน IT และสามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ลูกค้าสามารถสร้าง Private Cloud ทำให้มีระบบสารสนเทศ หรือใช้ Cloud ที่เป็น Service Provider ได้
นูทานิคซ์ได้พัฒนา Nutanix Cloud Solutions ทำให้องค์กรสามารถเรียกใช้แอปพลิเคชั่นเหล่านี้บนโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้อยู่ โดยปราศจากผลกระทบด้านลบหรือผลกระทบต่อความพร้อมใช้งาน ช่วยให้การผสานรวมการทำงานของชุดแอปพลิเคชั่นดียิ่งขึ้น ลดความซับซ้อน และลดต้นทุน ด้วยเทคโนโลยีไฮเปอคอนเวิร์จ ที่มีการบริหารจัดการด้านการปฏิบัติงานที่ครอบคลุม พร้อมกรอบการทำงานแบบอัตโนมัติที่ทำงานสอดประสานกันตั้งแต่ระบบเพื่อส่งมอบแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ด้วยความเรียบง่ายในคลิกเดียว ช่วยลดความซับซ้อนและทำให้การดำเนินงานรวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยทำให้การส่งมอบบริการใหม่ ๆ เกิดได้เร็วขึ้น ช่วยรับมือกับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ การปรับปรุงฐานข้อมูล และการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานเวอร์ชวลเดสก์ท็อป (Virtual Desktop Infrastructure: VDI) ช่วยให้บรรดาผู้ผลิตเร่งสร้างสรรค์ SM ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและปรับขยายขนาดเมื่อจำเป็นได้ นอกจากนี้นูทานิคซ์ยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอคอนเวิร์จรายแรกที่ได้รับการรับรองสำหรับแพลตฟอร์ม SAP HANA และ NetWeaver ช่วยให้สามารถใช้งานอย่างมั่นใจ
จากผลสำรวจดัชนีการใช้คลาวด์ขององค์กรในประเทศไทย ประจำปี 2562 (Enterprise Cloud Index – Thailand 2019) ของนูทานิคซ์ พบว่า 59% ใช้ Cloudในศูนย์ข้อมูลแบบเดิม 29% ใช้ Private Cloud และ15% ใช้ Hybrid Cloud
“นูทานิคซ์มองเห็นการ Adoption ใน Cloud ว่ายังมีอีกมาก ช่วยให้องค์กร 50% Transform จาก ITแบบดั้งเดิมเป็น Cloud ทุกอย่าง โดยวางแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องแยกโครงสร้างพื้นฐานหรือ Warehouse ลูกค้าสามารถย้ายแอปพลิเคชั่นมาวางบน Nutanix Cloud Solutions ทำให้เป็น Private Cloud ได้ทันที ” ทวิพงศ์ กล่าว
ทวิพงศ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีศึกษาของปูนนกอินทรี ซึ่งมีหน่วยงาน INSEE Digital ได้นำ Nutanix Cloud Solutions มาใช้ในองค์กรประมาณ 2-3 ปี โดยปูนนกอินทรีได้สร้าง Cloud Platform ใน Data Center มีระบบ Back up ในตัว ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในระดับ Minimize โดยไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องมืออื่นๆ และสามารถปรับขยายสเกลได้ ซึ่งช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโรงงานในต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
นูทานิคซ์มีแพลตฟอร์ม Nutanix Xi IoT ทำให้การประมวลผลของอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ (Local Computing) และกระบวนการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning :ML) ไปยังอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อด้วยอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ เป็นหนึ่งเดียวด้วยแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่นเสมือน ที่สร้างขึ้นจากพื้นฐานที่ต้องการแก้ปัญหาท้าทายเฉพาะของ IoT Xi IoT ทำให้การทำ Predictive Maintenance ดีขึ้นมาก โดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องจักรก่อนเวลาอันควร ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตอย่างรวดเร็ว และสร้างระบบปฏิบัติการด้านการผลิตที่คล่องตัวด้วยการสรรสร้างโซลูชั่นสำหรับอุตสาหกรรมอัจฉริยะ เช่น การตรวจสอบคุณภาพ การบริหารจัดการด้านสินทรัพย์โรงงานอย่างชาญฉลาด และการทำงานร่วมกันด้านวิศวกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยโซลูชั่นคลาวด์ของนูทานิคซ์ เพื่อเป็น Smart Manufacturing
ทวิพงศ์ กล่าวว่า สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตในไทย ที่มีการนำ Nutanix Cloud Solutions มาใช้ในอันดับต้นๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ และ Food Processing รวมทั้งโลจิสติกส์และการขนส่ง อย่าง Kerry Logistics