ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บริษัท ไบโอเมด เทคโนโลยี โฮลดิ้งส์ ประเทศไทย จำกัด (BioMed) และสมาคมจุลินทรีย์ลำไส้ฮ่องกง (HKSGM) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางการวิจัยและวิชาการเพื่อศึกษาวิจัย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พัฒนานวัตกรรม เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านจุลินทรีย์และโพรไบโอติกส์ในประเทศไทย
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ทีมวิจัยจากไบโอเทคได้ศึกษาเรื่องไมโครไบโอมในเชิงลึก ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีฐาน ที่ครอบคลุมทั้งองค์ความรู้ไมโครไบโอมการตอบสนองของสิ่งมีชีวิตที่ระดับยีนและเมตาบอไลท์ เพื่อศึกษาถึงความสำคัญและปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประชากรแบคทีเรียในลำไส้ต่อระบบภูมิคุ้มกันของสิ่งมีชีวิต องค์ความรู้และเทคโนโลยีฐานที่ได้พัฒนาขึ้นช่วยให้การศึกษาไมโครไบโอม มีความแม่นยำและละเอียดลึกมากขึ้น ช่วยให้การวิจัยและพัฒนาด้านไมโครไบโอม สามารถนํามาสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ความเข้าใจการอยู่รวมกันของกลุ่มจุลินทรีย์กับเซลล์ในแต่ละภูมิภาค หรือแต่ละสิ่งแวดล้อม ช่วยให้สามารถออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อปรับเปลี่ยนและควบคุมให้จุลินทรีย์มีคุณสมบัติหรือเป็นแหล่งผลิตสารชีวภาพที่อุตสาหกรรมหลากหลายประเภทที่ต้องการได้ ในปัจจุบันการวิจัยไมโครไบโอมในมนุษย์มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงผลของอาหารที่มีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงไมโครไบโอมในลําไส้ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการทำงานของร่างกาย สุขภาพทางการแพทย์และการเป็นโรคแต่ละชนิด ทั้งนี้ การทำวิจัยของนักวิจัยชาวไทยที่ผ่านมาในเรื่องจุลินทรีย์ยังไม่เคยมีการทำการวิจัยในร่างกายมนุษย์เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ แต่ภายหลังจากการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางการวิจัยและวิชาการแล้ว จะมีการนำจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทยมาวิจัยร่วมในร่างกายของมนุษย์ต่อไป
“สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อศึกษาวิจัย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พัฒนานวัตกรรม เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านจุลินทรีย์และโพรไบโอติกส์ในประเทศไทย ไบโอเทคมั่นใจว่าจะเกิดประโยชน์ในวงกว้างต่อสุขภาพอนามัยของทุกๆคน เนื่องจากหน่วยงานที่ร่วมลงนามมีความเชี่ยวชาญ ทั้งผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย นวัตกรรม เครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีฐานข้อมูลในการทำการวิจัยมาอย่างยาวนานจากทางฮ่องกง ส่วนไบโอเทคมีดาต้าข้อมูลเรื่องจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในการจะนำไปวิจัยทดลองหาจุลินทร์สายพันธุ์ที่เหมาะสมในการผลิตไพรไบโอติกส์ที่เหมาะสมสำหรับคนไทย” ดร.วรรณพ กล่าว
ความร่วมมือทางการวิจัยและวิชาการต่างๆในครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี เบื้องต้นคาดว่าในปีแรกจะสามารถพัฒนาองค์ความรู้พัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสมและเลือกใช้จุลินทรีย์ที่เหมาะสมในการนำมาผลิตเป็นโพรไบโอติกส์สายพันธุ์ไทย เพื่อลดการนำเข้าจุลินทรีย์จากต่างประเทศและส่งเสริมการขยายขนาดการผลิตจุลินทรีย์ของไทยให้เป็นที่รู้จักและนำไปใช้ในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานต่างๆ ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำต่อไป
ด้านวันวนัส มาอินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารBioMed Technology Holdings (Thailand) Co.,Ltd. กล่าวว่า จุลินทรีย์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนแต่ยั่งยืนเพราะการดูแลจุลินทรีย์ คือการดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคในร่างกายจากการวิจัยและประสบการณ์ตรงในการเจ็บป่วยพบว่า 90% เกิดจากจุลินทรีย์ในร่างกายเกิดความไม่สมดุล รับประทานยาอาจจะหายในบางชนิดของโรค แต่ในระยะยาวอาจจะมีผลข้างเคียงของอาการป่วยและโรคที่ทำให้ร่างกายป่วยอาจจะกลับมาได้อีก และในหลายๆครั้งที่ไปพบแพทย์จะมีคำแนะนำให้ทานอาหารเสริมอื่นๆที่มีจุลินทรีย์เป็นส่วนผสม เช่น ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ แต่ในตลาดประเภทสินค้ามีโพรไบโอติกส์มากมายหลากหลายชนิดและแต่ละชนิดก็ใช้จุลินทรีย์ผลิตที่แตกต่างกัน
ดังนั้นการใช้จุลินทรีย์เพื่อนำมาผลิตผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์จำเป็นต้องมีการทดลอง ทำวิจัย พัฒนาองค์ความรู้และสร้างความก้าวหน้าในการนำจุลินทรีย์แต่ละชนิดมาใช้ปรับสมดุลในร่างกาย ผู้บริโภคอาจจะใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจรับประทานโพรไบโอติกเพื่อเสริมสารอาหารที่รับประทานอยู่แล้วในแต่ละวัน เพราะสรรพคุณโพรไบโอติกส์ในแต่ละแบรนด์ที่นำจุลินทรีย์มาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแตกต่างกัน ทำให้ประสิทธิภาพและราคาย่อมแตกต่างกันด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ประกอบการจะนำจุลินทรย์ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเข้ากลุ่มโรคที่ช่วยในเรื่องการขับถ่าย แต่ทางบริษัทฯ ได้คิดค้นจุลินทรีย์ที่มีสรรพคุณช่วยในกลุ่มภูมิคุ้มกันบกพร่อง กลุ่มการเผาผลาญบกพร่องและกลุ่มโรคทางสมอง เป็นต้น จากฐานข้อมูลจุลินทรีย์ของคนไทยที่บริษัทฯในประเทศไทยและฮ่องกงได้เก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างประมาณ 3,000 คน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อคิดค้นสูตรโพรไบโอติกส์ที่มีคุณภาพและเหมาะสม ทนกรดในกระเพาะอาหารและมีจำนวน CFU (Colony Forming Unit) สูง ที่สำคัญสายพันธุ์ที่ใส่ลงไปจะต้องเหมาะสมกับลักษณะจุลินทรีย์ของผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่นด้วย ทั้งนี้การทานโพรไบโอติกส์จะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ด้วย โดยผู้ป่วยที่รับประทานในแต่ละโรคก็มีความแตกต่างและผลในการช่วยให้โรคที่เป็นอยู่ดีขึ้นมากน้อยแตกต่างกันตามภาวะการเป็นโรคนั้นๆและภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยก็แตกต่างกันด้วย
“สำหรับความร่วมมือด้านวิชาการและการวิจัย กับทั้ง 3 หน่วยงานในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมโพรไบโอติกส์ของทางบริษัทฯแล้ว จะยังช่วยเรื่องการพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี ขั้นตอนกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ ผลงานวิจัยร่วม นักวิจัยร่วม มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เรื่องจุลินทรีย์ ฐานข้อมูลจุลินทรีย์ในท้องถิ่นของประเทศไทยเพิ่มเติม เพื่อให้การพัฒนาผลิตผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ที่เหมาะสำหรับผู้บริโภคชาวไทยและเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีตามหลักวิชาการ โดยเผยแพร่ผลการวิจัยและการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ของบริษัทฯให้กับกลุ่มผู้บริโภคหลายๆกลุ่ม ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น” วันวนัส กล่าว
ศาสตราจารย์ ดร. สตีเฟน สุย Genomics and Bioinformatics, Chinese University of Hong Kong (CUHK) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 30 ปี ในการทำวิจัยเพื่อช่วยเหลือสังคมและผู้ป่วยในฮ่องกงและทั่วโลกในโรคต่างๆพบว่าโรคในปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การใช้ยารักษาเพียงอย่างเดียวอาจจะหายในช่วงระยะเวลานั้นๆ แต่ในระยะยาวโรคต่างๆที่เกิดขึ้นอาจจะกลับมาทำลายสุขภาพของผู้คนได้ หากการดูแลเรื่องสุขภาพ อนามัยและการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ไม่มีผลงานวิจัยรับรองและการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริมออกมาเพียงเพื่อจำหน่ายเท่านั้น ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานที่ได้ลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ต่างตระหนักและมีความต้องการที่จะให้ความร่วมมือในครั้งนี้มีรูปแบบการทำวิจัยเชิงลึกของประชากรในประเทศไทย เช่น พฤติกรรมการบริโภค โรคที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคในประเทศไทย ตัวแปรต่างๆที่จะส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยอันเกิดจากความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ แบ่งปันการวิจัย ประเมินผลที่ได้
นอกจาก 3 หน่วยงานที่ร่วมลงนามในครั้งนี้จะมีการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เพื่อขยายผลจากการทำวิจัย การประยุกต์ใช้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในการผลิตผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกส์ที่เข้าใจ เสริมประสิทธิภาพสุขภาพอนามัยของผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปทั้งในประเทศไทย ฮ่องกงและทั่วโลกให้มีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น