กรุงเทพฯ -17 มีนาคม 2564 :แลนเซสส์ (LANXESS) ผู้นำอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษสัญชาติเยอรมนี มั่นใจธุรกิจในปี 2564 จะสดใสยิ่งขึ้นและคาดว่าอุตสาหกรรมของลูกค้าส่วนใหญ่จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยทั้งปีแลนเซสส์คาดว่าจะทำกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จากการดำเนินงานตามปกติ (EBITDA pre Exceptionals) ราว 900 – 1,000 ล้านยูโร
แลนเซสส์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าแข็งแกร่งในปีการเงิน 2563 ขณะที่ทั้งโลกถูกคุกคามด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยทำกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จากการดำเนินงานตามปกติ (EBITDA pre Exceptionals)
ที่ 862 ล้านยูโร ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขของปีก่อนที่ 1.019 พันล้านยูโรเพียง 15.4 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นรายได้จึงอยู่ในอันดับต้น ๆ ของที่เคยประกาศไว้ว่าจะทำได้ในระหว่าง 820 – 880 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 กลุ่มบริษัทได้เปิดเผยตัวเลขเบื้องต้นของไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ที่แข็งแกร่งโดยหลายกลุ่มธุรกิจมีการพัฒนาที่ดีเกินคาด สัดส่วนของกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จากการดำเนินงานตามปกติ (EBITDA Margin pre Exceptionals )
อยู่ที่ 14.1 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 15.4 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว
“ในปี 2563 ที่เพิ่งผ่านไป แม้ทั่วโลกจะประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา แต่ผลการดำเนินงานของเรายังคงออกมาดีและจบลงอย่างแข็งแกร่งได้ในไตรมาสที่ 4 กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของเราแสดงให้เห็นถึงสถานะที่มั่นคงของทั้งกลุ่มบริษัทที่สามารถยืนหยัดต่อสู้ฝ่าฟันภาวะวิกฤตครั้งสำคัญนี้ ขอขอบคุณพนักงานทุกคนในทีมแลนเซสส์ทั้งหมดที่พยายามทำทุกวิถีทางในปีที่ยากลำบากนี้เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ ด้วยทีมงานและตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของเรา เราจะสามารถรับมือกับปี 2564 ด้วยการมองโลกอย่างสดใสและทุ่มพละกำลังไปที่การเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” Matthias Zachert ประธานคณะกรรมการบริหารของ LANXESS AG กล่าว
สำหรับยอดขายของกลุ่มแลนเซสส์ในปี 2563 ทั้งปีอยู่ที่ 6.104 พันล้านยูโร ลดลง 10.3 เปอร์เซ็นต์จากตัวเลขปีก่อนที่ 6.802 พันล้านยูโร รายได้สุทธิ (Net Income) จากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 908 ล้านยูโรเทียบกับ 240 ล้านยูโรในปีที่แล้ว เป็นผลมาจากรายได้จากการขายหุ้นใน Currenta ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเคมีในประเทศเยอรมนีเมื่อปลายเดือนเมษายน พ.ศ.2563 ในส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิของแลนเซสส์ลดลงจาก 1.742 พันล้านยูโร ณ สิ้นปีการเงิน 2562 มาเป็น 1.012 พันล้านยูโร ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2563
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการกำกับจะเสนอเงินปันผลเพิ่มขึ้นอีกครั้งในอัตรา 1 ยูโรต่อหุ้น ซึ่ง มากกว่าปีที่แล้วประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 คิดเป็นเงินทั้งหมดประมาณ 87 ล้านยูโร
เดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจ
มุ่งเป้าไปที่การเติบโตของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปกป้องผู้บริโภค
ในปี 2563 แลนเซสส์ได้ขายธุรกิจเคมีภัณฑ์เมมเบรนและโครเมี่ยมและธุรกิจเคมีภัณฑ์สำหรับเครื่องหนัง ถือเป็นการปรับตัวออกจากอุตสาหกรรมดังกล่าว ซึ่งไม่สอดคล้องกับการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ไปยังเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ เพื่อวางรากฐานสำหรับการพัฒนาให้มีผลกำไรมากขึ้น อีกทั้งการขายหุ้นใน Currenta ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเคมียังช่วยเสริมให้แลนเซสส์มีฐานทางการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้น
ในปี 2564 สัญญาณดีทั้งหมดชี้ไปที่การเติบโต โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปกป้องผู้บริโภค ภายในไม่กี่สัปดาห์แลนเซสส์ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการ 3 ครั้งที่อยู่ในธุรกิจนี้ ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ INTACE ผู้เชี่ยวชาญด้านไบโอไซด์ของฝรั่งเศส ทำให้แลนเซสส์สามารถขยายผลิตภัณฑ์ครอบคลุมขอบเขตของสารฆ่าเชื้อราสำหรับกระดาษและบรรจุภัณฑ์ ในอนาคตแลนเซสส์จะขยายธุรกิจมากขึ้นไปยังตลาดสุขอนามัยสัตว์ที่กำลังเติบโตโดยเข้าซื้อกิจการ Theseo ซึ่งมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาฆ่าเชื้อและผู้ให้บริการสุขอนามัย คาดว่าการทำธุรกรรมจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่สองปี 2564
ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 บริษัทเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษได้ประกาศเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของตน ด้วยการเข้าซื้อกลุ่ม Emerald Kalama Chemical ในประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้แลนเซสส์สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ปกป้องผู้บริโภคและเข้าถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีอัตรากำไรสูงเช่น อุตสาหกรรมอาหารและสุขภาพสัตว์ ทั้งนี้กลุ่มแลนเซสส์คาดว่าการทำธุรกรรมนี้จะเสร็จสมบูรณ์ในครึ่งปีหลังของปีนี้ หลังจากได้รับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับของรัฐบาล
“ผลิตภัณฑ์ปกป้องผู้บริโภคโดดเด่นด้วยอัตราการเติบโตที่น่าสนใจและอัตรากำไรที่แข็งแกร่ง เราต้องการเติบโตในตลาดนี้และลงมือทำในทันทีตั้งแต่ต้นปี” Zachert กล่าว
เผยกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปกป้องผู้บริโภคในปี ’63 ยังคงแข็งแกร่ง
สำหรับยอดขายและกำไรของกลุ่มธุรกิจสารตัวกลางขั้นสูง (Advanced Intermediates) โดยรวมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในปี 2563 ทำให้มีอุปสงค์ที่อ่อนแอและราคาที่ลดลงส่งผลเสียต่อหน่วยธุรกิจ Advanced Industrial Intermediates ส่งผลให้ยอดขายลดลง 11.2 เปอร์เซ็นต์จาก 2.251 พันล้านยูโรเป็น 1.999 พันล้านยูโร โดยมี EBITDA pre Exceptionals อยู่ที่ 336 ล้านยูโร ต่ำกว่าตัวเลข 383 ล้านยูโรของปีก่อนหน้า 12.3 เปอร์เซ็นต์ และมี EBITDA Margin pre Exceptionals เกือบคงที่ที่ 16.8 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 17 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว
ในส่วนของกลุ่มธุรกิจสารเติมแต่งชนิดพิเศษ (Specialty Additives)
ยอดขายโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และการบินก็ลดลงอย่างมากเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา อัตราแลกเปลี่ยนยังส่งผลเสียต่อยอดขายและผลกำไรอีกด้วย โดยมียอดขายรวมที่ 1.728 พันล้านยูโรลดลง 12.1 เปอร์เซ็นต์จากตัวเลขปีก่อนที่ 1.965 พันล้านยูโร ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาขายที่ต้องปรับลดลงเล็กน้อย ทำให้ EBITDA pre Exceptionals ลดลง 19.5 เปอร์เซ็นต์จาก 353 ล้านยูโรเป็น 284 ล้านยูโร และ EBITDA Margin pre Exceptionals สำหรับปีงบประมาณ 2020 อยู่ที่ 16.4 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 18.0 เปอร์เซ็นต์ในปีก่อนหน้า
ขณะที่ธุรกิจกลุ่มปกป้องผู้บริโภค (Consumer Protection) ซึ่งเพึ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ในปี 2563 มีผลการดำเนินงานที่ดีตลอดทั้งปี โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจเคมีเกษตรที่แข็งแกร่งของ Saltigo และความต้องการสารฆ่าเชื้อที่ค่อนข้างสูง ผลกระทบในเชิงบวกจากการเข้าซื้อ IPEL ผู้ผลิตไบโอไซด์ของประเทศบราซิลช่วยชดเชยผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ยอดขายมีมูลค่า 1.110 พันล้านยูโรเพิ่มขึ้น 5.7 เปอร์เซ็นต์จากตัวเลขปีก่อนที่ 1.050 พันล้านยูโร โดยมี EBITDA pre exceptionals เพิ่มขึ้น 17.7 เปอร์เซ็นต์จาก 198 ล้านยูโรเป็น 233 ล้านยูโร และ EBITDA Margin pre Exceptionals สูงถึง 21 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 18.9 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว
ด้านกลุ่มธุรกิจวัสดุวิศวกรรม (Engineering Materials)
ยอดขายและผลกำไรได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่อ่อนแอลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ยอดขายทั้งปีลดลง 17.9 เปอร์เซ็นต์จาก 1.450 พันล้านยูโรเป็น 1.190 พันล้านยูโร ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาขายต้องปรับลดลงและผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นลบ EBITDA pre exceptionals ลดลง 36.6 เปอร์เซ็นต์จาก 238 ล้านยูโรเป็น 151 ล้านยูโร นอกเหนือจากอุปสงค์ที่อ่อนแอแล้วรายได้ยังลดลงอีกด้วย เนื่องจากต้องปิดซ่อมบำรุงโรงงานตามแผนและความยากลำบากในการเริ่มการผลิตใหม่ในเบลเยียมในภายหลัง และ EBITDA margin pre exceptionals อยู่ที่ 12.7 เปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าตัวเลข 16.4 เปอร์เซ็นต์ที่ทำได้ในปีที่แล้ว
a | a | a | a | a | a | a | |||||||||||||||||
a | a | a | a | a | a | a | |||||||||||||||||
EUR million |
Q4/2019 |
Q4/2020 |
Change % |
2019 |
2020 |
Change % |
|||||||||||||||||
a |
a |
a |
a |
a |
a |
a |
|||||||||||||||||
Sales |
1,636 |
1,503 |
–8.1 |
6,802 |
6,104 |
–10.3 |
|||||||||||||||||
EBITDA pre exceptionals |
197 |
200 |
1.5 |
1,019 |
862 |
–15.4 |
|||||||||||||||||
EBITDA margin pre exceptionals |
12.0% |
13.3% |
15.0% |
14.1% |
|||||||||||||||||||
Net income |
–48 |
–3 |
93.8 |
205 |
885 |
>100 |
|||||||||||||||||
from continuing operations |
–22 |
17 |
>100 |
240 |
908 |
>100 |
|||||||||||||||||
from discontinued operations |
–26 |
–20 |
23.1 |
–35 |
–23 |
34.3 |
|||||||||||||||||
Dividend or proposed dividend per share (EUR) |
0.95 |
1.00 |
5.3 |
||||||||||||||||||||
Net financial liabilities* |
2,252 |
1,381 |
–38.7 |
1,742 |
1,012 |
–41.9 |
|||||||||||||||||
Employees (December 31, 2020) ** |
15,283 |
15,441 |
1.0 |
14,304 |
14,309 |
0.0 |
*หลังหักลบเงินลงทุนในตลาดเงินและหลักทรัพย์ระยะสั้น
**จำนวนพนักงาน ณ วันที่รายงาน