“น้ำ” เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญสำหรับการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตและเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย แต่ทว่าปัจจุบันสถานการณ์น้ำมีความผันผวนอย่างมาก ก่อให้เกิดประเด็นด้านการบริหารจัดการที่ท้าทายยิ่งขึ้น ทั้งในด้านภาวะการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ภาวะน้ำท่วมในฤดูฝน ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำ ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทำให้คุณภาพของน้ำเสียไม่อาจนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดเวทีสาธารณะนโยบายน้ำ สกว. ครั้งที่ 10 ขึ้นในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติและวันน้ำโลกต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้เป็นการนำเสนอเรื่องการบริหารจัดการน้ำภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับยุทธศาสตร์น้ำของประเทศ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) โดยนำเสนอกรอบการบริหารจัดการน้ำภายใต้แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ แนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำ แนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อเพิ่มมูลค่า และประเด็นวิจัยเพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์น้ำ
ชี้แผนแม่บทการจัดการน้ำที่ผ่านมาไม่ตอบโจทย์การใช้งาน
สราวุธ ชีวะประเสริฐ รักษาการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวว่า แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมาในอดีต แม้จะมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายเรื่องที่ยังต้องมีการปรับปรุงแก้ไข คือ เรื่องของฐานข้อมูล และการขาดการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์สถานการณ์ ไม่เพียงพอในการกำหนดเป้าหมายเชิงพื้นที่หรือเชิงปริมาณ อีกทั้งบางหน่วยงานไม่มีแผนและทิศทางที่ชัดเจน ขาดการเชื่อมโยงกับนโยบายอื่น ทำให้แผนงานเดิมไม่ตอบสนองนโยบายประเทศ คือไม่กระทบกับตัวชี้วัดหรือเป้าหมายที่ต้องการ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการประเมินผลหรือตัวชี้วัดไม่ชัดเจน จะต้องเร่งปรับตัวชี้วัดและวิธีจัดเก็บข้อมูลและระบบติดตาม รวมถึงขาดการสื่อสารทำความเข้าใจต่อแผนแม่บท จะต้องสร้างความเข้าใจให้เห็นภาพที่ตรงกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแผนงานหรือโครงการที่มีผลกระทบต่อยุทธศาสตร์น้ำ
แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ 20 ปี สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
สำหรับข้อมูลแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีเป้าหมาย 6 ด้านด้วยกัน คือ 1) ด้านการจัดการน้ำอุปโภคบริโภค โดยกำหนดว่าประปาหมู่บ้านจะต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานให้ได้ภายในปีพ.ศ.2573 (SDGs) ขยายเขตประปา สำรองน้ำต้นทุนเพื่อรองรับเมืองหลัก เมืองท่องเที่ยว หรือพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อีกทั้งการใช้น้ำต่อประชากรต้องไม่เพิ่มขึ้นและมีอัตราลดลงภายในปี พ.ศ.2570 2)ด้านการสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต โดยการจัดการด้านความต้องการน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพโครงการแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำเดิม พัฒนาแหล่งกักน้ำและระบบส่งน้ำใหม่ พัฒนาระบบผันน้ำและระบบเชื่อมโยงแหล่งน้ำเพิ่มน้ำต้นทุน จัดหาน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน ลดความเสี่ยงในพื้นที่ที่ไม่มีศักยภาพหรือความเสียหายในพื้นที่วิกฤตร้อยละ50 ซึ่งพื้นที่ในส่วนนี้ยังไม่สามารถแยกแยะพื้นที่ได้ รวมถึงการเพิ่มผลิตภาพและปรับโครงสร้างการใช้น้ำ การประหยัดน้ำในภาคอุตสาหกรรม การจัดการในพื้นที่พิเศษ และเร่งรัดการเตรียมความพร้อมโครงการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำ 3) ด้านการจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ มีการปรับปรุงการระบายน้ำและสิ่งกีดขวางทางน้ำ จัดทำผังลุ่มน้ำและบังคับใช้ในผังเมืองรวมและจังหวัดทุกลุ่มน้ำ ป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง 764 เมือง โดยมีผังน้ำบังคับใช้ทุกจังหวัด การบรรเทาอุทกภัยระดับลุ่มน้ำและพื้นที่วิกฤต ลดความเสี่ยงและความรุนแรงลงไม่น้อยกว่าร้อยละ60 การจัดการพื้นที่น้ำท่วมและพื้นที่ชะลอน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการปรับตัวและเผชิญเหตุในพื้นที่น้ำท่วมร้อยละ75 4)ด้านการจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ป้องกันและลดการเกิดน้ำเสียที่ต้นทาง เพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดและควบคุมการระบายยน้ำเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม พัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน การนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ จัดสรรน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ อนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติ 5) ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำ มุ่งเน้นฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรม จำนวน 3.5 ล้านไร่ ป้องกันการเกิดการชะล้างและการพังทลายของดินในพื้นที่เกษตรลาดชันชั้นที่ 1,2 จำนวน 1.45 ล้านไร่ และชั้น 3,4,5 จำนวน 22 ล้านไร่ และ 6) ด้านการบริหารจัดการ โดยปรับปรุงกฎหมายน้ำและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย จัดตั้งองค์กรด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต พร้อมทั้งการติดตามและประเมินผล แผนการจัดสรรน้ำ พัฒนาระบบฐานข้อมูล ศึกษาวิจัยและพัฒนาแนวทางการจัดการน้ำเพื่ออุดช่องว่างการดำเนินงาน เตรียมความพร้อม ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ และการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
“ การดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ ยังมีปัญหาและความท้าทายอยู่อีกมาก โดยเฉพาะแนวทางการขับเคลื่อนแผนแม่บทว่าทำอย่างไรให้การดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายทั้งเรื่องของการประเมินความมั่นคงด้านน้ำภายใต้กรอบ AWDO ซึ่งเป็นกรอบระดับนานาชาติที่ไทยนำมาประยุกต์ใช้ หรือเรื่องการประหยัดน้ำ เพราะขณะนี้มีที่เสนอไว้เพียงกิจกรรมเดียวซึ่งยังไม่เพียงพอที่เราจะลดปริมาณการใช้น้ำลงได้ เพื่อให้มีน้ำประปาเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ในอีก 5 -10 ปีข้างหน้า รวมถึงประเด็นที่ยังเป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้ไข แต่ทิศทางเริ่มดีขึ้นและน่าว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นใน 1-2 ปี” สราวุธ กล่าว
เทคโนโลยี 5 G จะมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการน้ำ
รศ.ดร.สุจริต คุณธนกุลวงศ์ นักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมถึงข้อเสนอกรอบการบริหารจัดการน้ำภายใต้แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำว่า สถานภาพการบริหารจัดการน้ำของประเทศที่ผ่านมา รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในแก้แต่ยังคงมีอีกหลายปัญหาที่รออยู่ ปัจจุบันจึงมีการวางเป้าหมายแผนแม่บทฯ เพื่อแก้ปัญหาและสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต ภายใต้การบริหารจัดกาน้ำในหลายมิติและหลายระดับทั้งในส่วนของการซ่อม สร้าง และการพัฒนาที่ต้องก้าวกระโดดเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการลดจนสามารถลดการใช้น้ำในปีพ.ศ.2570 และเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กับการเตรียมพร้อมคน วิชาการ ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร และการปรับตัว ตลอดจนการสร้างแพลตฟอร์มการทดลองใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่าน ตัวอย่างเช่น การวิจัยเชิงปฏิบัติการ Spearhead Project หรือโครงการวิจัยเข็มมุ่งด้านการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงเทคโนโลยี 5 G ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการเรื่องน้ำ
การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เสนอเป้าหมายตัวชี้วัดและแนวทางพัฒนา ภายใต้ 3 แผนย่อย
ดร.ปิยธิดา เรืองรัศมี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการวิเคราะห์สถานะของความมั่นคงด้านน้ำผลิตภาพจากน้ำและภัยพิบัติ สกว.กล่าวว่า แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในประเด็นที่ 19 ประเด็นการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ได้มีการเสนอเป้าหมายตัวชี้วัดและแนวทางพัฒนาด้วยแผนย่อย 3 แผน ประกอบด้วย 1) แผนย่อยพัฒนาการจัดการน้ำเชิงลุ่มน้ำทั้งระบบเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ 2) แผนย่อยเพิ่มผลิตภาพของน้ำทั้งระบบในการใช้น้ำอย่างประหยัด รู้คุณค่าและสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้น้ำให้ทัดเทียมกับระดับสากล และ3) แผนย่อยอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศ โดยได้มีการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายทุกช่วง 5 ปี ในช่วงปี พ.ศ.2561-2580 ของการเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำ การเพิ่มผลิตภาพของน้ำ และการอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศ
เผยคุณภาพน้ำและการบำรุงรักษาระบบประปา -บำบัดน้ำเสีย ยังเป็นปัญหาที่สำคัญ
สำหรับแนวทางการประเมินความมั่นคงด้านน้ำของไทยในระดับจังหวัดและระดับลุ่มน้ำ ที่ได้มีการศึกษาเบื้องต้นภายใต้กรอบ Asian Water Development Outlook (AWDO) 2016 มีการประเมินใน 5 ด้านด้วยกัน ได้แก่ 1) ความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค 2) ความมั่นคงน้ำเพื่อเศรษฐกิจ โดยการใช้ทรัพยากรน้ำในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคพลังงาน 3) ความมั่นคงน้ำสำหรับเมือง 4) ความมั่นคงน้ำด้านสิ่งแวดล้อม และ 5) ความมั่นคงน้ำด้านการฟื้นตัวจากภัยพิบัติจากน้ำ จากผลการศึกษาในระดับประเทศ พบว่าคะแนนการประเมินของไทยอยู่ใน “ระดับปานกลาง” โดยความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค แยกประเมินเป็นพื้นที่นอกเขตเทศบาล (ชนบท) และพื้นที่ในเขตเทศบาล (เมือง) พบว่า ระบบประปาหมู่บ้านมีการเข้าถึงเกือบครบทุกหมู่บ้าน แต่ปัญหาเรื่องของคุณภาพน้ำและปัญหาเรื่องการบำรุงรักษาระบบประปา รวมถึงปัญหาการบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย ยังเป็นเรื่องสำคัญเพราะประเทศไทยยังไม่มีการจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียภาคครัวเรือน
ดร.ปิยะธิดา กล่าวว่า ในด้านการเพิ่มผลิตภาพของการใช้น้ำภาคเกษตร ควรจะประเมินผลิตภาพการใช้น้ำในแง่ของประสิทธิภาพ (Efficiency) ควรพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆในการปลูกข้าว พัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังได้เสนอดัชนีชี้วัดเพิ่มเติม อาทิ การใช้น้ำเพื่อการท่องเที่ยว การพิจารณาปริมาณน้ำที่มาจากแม่น้ำระหว่างประเทศ ความขัดแย้งของการใช้น้ำ และมิติทางสังคมฯลฯ