กรุงเทพฯ- 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 : สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน(GIZ) ส่งมอบตู้แช่แข็งอุณหภูมิต่ำเพื่อจัดเก็บวัคซีน COVID-19 พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการแก่กระทรวงสาธารณสุข ณ กรมควบคุมโรคเพื่อเพิ่มแรงสนับสนุนการดำเนินงานกระจายวัคซีนในกลุ่มที่มีความเปราะบางรวมถึงประชากรที่มีความเสี่ยงตามพื้นที่แนวชายแดนให้แก่หน่วยงานด้านสาธารณสุขของประเทศไทย
อุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งประกอบไปด้วยตู้แช่แข็งอุณหภูมิต่ำ 4 ตู้รวมถึงเข็มและกระบอกฉีดยาชนิด Low Dead Space จำนวน 51,000 ชุด ได้ถูกส่งมอบให้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย ระหว่างงานพิธีส่งมอบเครื่องมือทางการแพทย์ภายใต้ “โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งสำหรับการตอบโต้ต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน
การส่งมอบตู้แช่แข็งฯ ดังกล่าวจะช่วยให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถจัดเก็บวัคซีนชนิดสารพันธุกรรมหรือวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวัคซีนชนิดดังกล่าวต้องจัดเก็บในอุณหภูมิที่ต่ำมากเป็นพิเศษถึง –70 องศาเซลเซียส ในขณะที่อุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆ ซึ่งได้แก่ เข็มและกระบอกฉีดยาชนิด Low Dead Space จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขสามารถเร่งการฉีดวัคซีนเพื่อตอบสนองต่อการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ฮานส์ อูลริช ซูดเบค อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การระบาดใหญ่ในครั้งนี้จะสามารถเอาชนะได้ก็ต่อเมื่อการแพร่กระจายของโรคถูกควบคุมได้ทั่วโลก ผมมีความยินดีที่เราสามารถมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินงานกระจายวัคซีน COVID-19 ในประเทศไทยโดยการบริจาคตู้แช่แข็งอุณหภูมิต่ำรวมถึงเข็มและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีความเปราะบางรวมถึงประชากรที่มีความเสี่ยงตามพื้นที่แนวชายแดนของประเทศเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับผลประโยชน์ โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือด้านสาธารณสุขในภูมิภาค ระหว่างอาเซียน-เยอรมัน การบริจาคครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งในความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานกับประเทศไทย ในขณะที่เรากำลังเฉลิมฉลอง 160 ปี ความสัมพันธ์เยอรมัน-ไทย ในปี พ.ศ. 2565 นี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้สนับสนุนประเทศไทยเป็นประเทศแรกในฐานะสมาชิกสหภาพยุโรป ด้วยการบริจาควัคซีนและยารักษาโรคติดเชื้อ COVID-19”
“เราเชื่อว่าการเข้าถึงวัคซีน ยา และการตรวจหาเชื้ออย่างเท่าเทียม ยุติธรรม และอยู่ในราคาที่จับต้องได้ รวมถึงให้การป้องกันกับผู้มีความเสี่ยงสูงเป็นการช่วยชีวิตวิธีหนึ่งที่สำคัญ ดังนั้นเรามุ่งเน้นที่จะรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID-19ซึ่งมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนนับล้าน ผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศและแบบพหุภาคี เช่น โครงการ COVAX โดยการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID-19 เป็นหนึ่งในวาระสำคัญของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในฐานะเป็นประธานของ G7” ซูเบค กล่าว
ด้านนายแพทย์ โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้รับอุปกรณ์สนับสนุนจากโครงการฯ ซึ่งได้แก่ ตู้แช่แข็งอุณหภูมิต่ำรวมถึงเข็มและกระบอกฉีดยาชนิด Low Dead Space เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวมีส่วนช่วยส่งเสริมความพยายามในการดำเนินงานกระจายวัคซีนภายในประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยมีแผนที่จะซื้อวัคซีนป้องกัน COVID-19จำนวน 120 ล้านโดส เพื่อใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นและจัดการกับเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ในปี พ.ศ. 2565 นี้
สำหรับพิธีส่งมอบเครื่องมือทางการแพทย์ อยู่ภายใต้การดำเนินงานของโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งสำหรับการตอบโต้ต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งให้ความสำคัญในการช่วยเหลือแก่กลุ่มที่มีความเปราะบางในพื้นที่มีความเสี่ยงสูง โดยการสนับสนุนครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุขในภูมิภาค ระหว่างอาเซียน-เยอรมัน และประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศสมาชิกอาเซียน
โครงการฯ ให้การสนับสนุนกิจกรรม ดังนี้ 1) การจัดหาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับประเทศในกลุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในภูมิภาคอาเซียน 2) การสนับสนุนความร่วมมือระดับภูมิภาคอาเซียนในการเตรียมความพร้อมและตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข อาทิ การพัฒนาแนวทางปฏิบัติเพื่อติดตามผู้สัมผัสข้ามพรมแดนและการสอบสวนการระบาดของโรค การพัฒนาแนวทางปฏิบัติด้านสุขอนามัยของอาเซียนเพื่อป้องกันโรคระบาดในที่สาธารณะ และด้วยความร่วมมือกับสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรค ได้จัดทำการประเมินความต้องการเพื่อพัฒนาศักยภาพในการรับมือภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขของ COVID-19 ในอาเซียน และ 3) การพัฒนาโครงการในอนาคตเพื่อเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขในระยะยาวของประชาคมอาเซียน
ทั้งนี้โครงการฯ อยู่ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMZ) ในการตอบสนองและฟื้นตัวจากผลกระทบที่เกิดจาก COVID-19