วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จยอดขายรถในประเทศภายในปี 2023 เพิ่มขึ้น 24% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนจากยอดขายรถไฟฟ้าไลน์อัพ Pure Electric ที่ 56% จากยอดขายทั้งหมด นำโดยรถไฟฟ้ารุ่นยอดนิยมอย่าง Volvo XC40 Recharge Pure Electric ขณะเดียวกัน รถไฟฟ้ารุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปในปีที่ผ่านมาอย่าง Volvo EX30 ก็ได้รับกระแสความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายรถไฟฟ้าของวอลโว่ในปี 2024 โดยวางแผนยอดขายในปี 2024 เติบโตต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2023
การเติบโตที่ต่อเนื่องของรถไฟฟ้าไลน์อัพ Pure Electric ในปี 2022 ซึ่งเติบโต 35% และปี 2023 ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้น 56% ตอกย้ำถึงความสำเร็จของบริษัทฯในทิศทางการจำหน่ายเพียงรถไฟฟ้าเท่านั้นภายในปี 2025 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ประกาศแผนกลยุทธ์เพื่อสานต่อเป้าหมายในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และเพื่อเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทผู้จำหน่ายรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบในประเทศไทยภายในปี 2025
คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน ตอกย้ำให้เห็นว่าเราเดินทางมาในทิศทางที่ถูกต้อง ผลลัพธ์แห่งความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการมีเป้าหมายและเจตนารมณ์ที่ชัดเจน ปี 2024 ถือเป็นอีกปีที่สำคัญของวอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ที่จะสานต่อจุดยืนในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่การเป็นยานยนต์ไฟฟ้า
“ในปี 2023 ยอดขายวอลโว่ คาร์ในประเทศไทยเติบโต 24% ซึ่งถือเป็นผลงานที่ดีมาก ขณะที่ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2023 ลดลง 9% ส่วนยอดขายในปี 2022 เมื่อเทียบกับปี 2021 เติบโต 71% นับเป็นผลงานท่ามกลางตลาดที่ท้าทายของไทย” คริส เวลส์ กล่าว
ในปี 2024 วอลโว่วางแผนยอดขายเติบโตต่อเนื่องในปี 2024 เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2023 โดยจะเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรมการออกแบบ และเทคโนโลยีประมวลผล คอร์ คอมพิวติ้ง (Core Computing) เจนเนเรชันล่าสุด เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และมอบความปลอดภัยแห่งอนาคตให้แก่ผู้ใช้รถ โดยรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ EX90 ที่จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปีนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มผลิตภัณฑ์รถไฟฟ้าระดับพรีเมียมของวอลโว่ในปัจจุบันที่มีอยู่แล้วอย่าง Volvo XC40, C40 และ EX30 ซึ่งเปิดตัวในเดือนกันยายน 2566 ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยคาดว่าในปีนี้ยอดขาย Pure Electric จะมีสัดส่วน 80% เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบริษัทผู้จำหน่ายรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 100% ในประเทศไทยภายในปี 2025
ทั้งนี้วอลโว่ คาร์ ได้วางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อก้าวสู่เป้าหมายให้สำเร็จภายในปี 2025 ได้แก่ ตั้งเป้าการเติบโตทางด้านยอดขายอย่างต่อเนื่องหลังการแพร่ระบาด, การเริ่มให้บริการซ่อมและบำรุงรักษารถไฟฟ้าแบบเคลื่อนที่ หรือโมบาย เซอร์วิส (Mobile Service) ทั่วประเทศ เพื่อวิเคราะห์และซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าให้ลูกค้า ให้บริการถึงที่บ้านของลูกค้า ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกและเข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้น นับเป็นเทรนด์การให้บริการที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ เริ่มทดลองระบบภายในให้ครอบคลุมตั้งแต่หน้าบ้านจนถึงหลังบ้าน ก่อนจะ Implement ให้ดีลเลอร์แต่ละรายจนครบทั้งหมดภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2024นี้
คริส เวลส์ กล่าวว่า ในส่วนของเจตนารมณ์ด้านการสร้างความยั่งยืน วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้เริ่มโครงการติดตั้งหลังคาโซลาร์ ณ คลังสินค้า Volvo Car Thailand Central Distribution & Training Center บางนา ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นพื้นที่สำหรับเก็บชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ล้ำสมัย ทั้งเป็นศูนย์บริการตรวจเช็ครถตามขั้นตอนโดยละเอียดก่อนส่งมอบแก่ลูกค้า ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2024 พื้นที่กว่า 23,331 ตารางเมตร ของคลังเก็บสินค้าแห่งนี้จะสามารถปฎิบัติการณ์ได้ด้วยพลังงานจากแหล่งไฟฟ้าหมุนเวียนแบบ 100% ในอนาคต วางแผนให้มีชิ้นส่วนและอะไหล่ที่สามารถรีไซเคิลได้ถึง 30%
“ภายในปี 2025 วอลโว่ คาร์จะใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิต 100% ในส่วนของแผนปฏิบัติการเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมทางสภาพอากาศ บริษัทฯ ได้ประกาศเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (C02) โดยเฉลี่ย 70% ต่อคัน ภายในปี 2025 เช่นกัน” คริส เวลส์ กล่าว
นอกจากนี้ วอลโว่ยังมีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์ซ่อมและรีไซเคิลแบตเตอรี่ในประเทศไทยในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งจะให้บริการครอบคลุมประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ด้วยเงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท โดยเริ่มต้นที่โครงการรีไซเคิลแบตเตอรี่ผ่านความร่วมมือกับ TES ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจากประเทศสิงคโปร์ โครงการเหล่านี้ไม่เพียงมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายแบตเตอรี่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องตลอดช่วงอายุการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership) รถไฟฟ้าและรถ Plug-in Hybrid ของวอลโว่อีกด้วย
“ด้วยฐานลูกค้าของวอลโว่ในประเทศที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้วางแผนที่จะเปิดศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสีมาตรฐานครบวงจร Volvo Certified Damage Repair Centre แห่งที่ 3 ในปีนี้ ด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อลดภาระความแออัดของศูนย์บริการทั้งสองแห่ง ลูกค้าจะได้ไม่เสียเวลารอคิว เพื่อส่งมอบประสบการณ์การบริการที่สะดวกสบายแก่ลูกค้า” คริส เวลส์ กล่าวทิ้งท้าย