ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC Model ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 อาคารอุดมศึกษา 1 โดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนาบุคลากรกับผู้ประกอบการ ตามแนวทาง EEC Model และการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานในการพัฒนาบุคลากร โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ๆ ดังนี้
พัฒนาบุคลากรแบบ Demand Driven เป็นแนวทางหลักในการพัฒนาบุคลากรใน EEC
1) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากรใน EEC ใช้ EEC Model Type A และ EEC Model Type B เป็นแนวทางหลักในการพัฒนาบุคลากรใน EEC และให้ EEC-HDC (Eastern Economic Corridor Human Development Center) เป็นผู้ประสานงานและรายงานให้ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ทราบในการประชุมครั้งต่อไป
2) ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ปรับการเรียนหลักสูตรการเรียนการสอนในหลักสูตรที่ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (Degree) เป็นแบบ EEC Model Type A ให้มากที่สุด โดยให้ EEC-HDC ประสานงานโครงการ CWIE (Cooperative and Work Integrated Education) และหาแนวทางและเป้าหมายเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
3) ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดการจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้น (Short Course) ที่ได้รับงบประมาณในปีงบประมาณ 2563 และ 2564 โดยเร่งรัดการจัดทำหลักสูตรและประสานพลังเอกชนเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย 30,000 คน โดยให้ EEC-HDC เป็นผู้ประสานงานหลัก
ขยายกรอบความร่วมมือ เพิ่มการพัฒนาบุคลากรใน EEC ระหว่างหน่วยงานที่สำคัญ
1. ความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
1) ผลักดันให้สถาบันอาชีวศึกษาในภาคตะวันออก จำนวน 12 สถาบันอาชีวศึกษา ซึ่งมีกำลังการผลิตนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรชั้นสูง (ปวส.) รวมปีละ 8,200 คน เป็นรูปแบบ EEC Model Type A ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของผู้สำเร็จการศึกษา ปวส. ในปี พ.ศ. 2566 (ดำเนินการแล้วประมาณ 1,500 คน ต้องการเพิ่ม 7,000 คน)
2) ขยายจำนวนนักศึกษาที่เข้าอบรมหลักสูตรระยะสั้น รัฐเอกชนร่วมจ่าย 50:50 ให้ได้ 20,000 คน ในปีงบประมาณ 2564
3) ให้ขยายผลการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการภาษากับเนื้อหา (Content and Language Integrated Learning : CLIL) กับการเรียนการสอนกลุ่มอาชีวศึกษา ซึ่งผู้สอนในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ นำภาษาอังกฤษไปสอดแทรกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้ภาษาอังกฤษเฉพาะทางได้ เน้นให้ผู้เรียนรู้จักและใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่พบในวิชาชีพ และสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
2. ความร่วมมือระหว่าง สกพอ.กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน
1) ให้หน่วยฝึกอบรมของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานใน EEC เช่น สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Manufacturing Automation and Robotics Academy : MARA) ทำงานร่วมกับภาคเอกชนให้มากขึ้น ทั้งการฝึกอบรม Reskill Upskill New Skill ในหลักสูตรอบรมระยะสั้น
2) กรมพัฒนาฝีมือแรงงานสร้างหลักสูตรอบรมระยะสั้น รัฐเอกชน ร่วมจ่าย 50:50 และเป็นแกนนำประสานภาคอุตสาหกรรมเชื่อมต่อการศึกษา และฝึกอบรมเพิ่มทักษะแรงงาน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
3. ความร่วมมือระหว่าง สกพอ. กับ สป.อว.
1) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาตามแนวทาง Demand Driven โดยบูรณาการ การจัดการศึกษาในรูปแบบ EEC Model และความร่วมมือในการส่งเสริมการจัดสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน (CWIE) ให้สามารถพัฒนากำลังคนได้ตรงความต้องการของผู้ใช้บัณฑิตมากที่สุดทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
2) กำหนดแนวทางเพื่อสนับสนุนสถานศึกษาที่จัดการศึกษาตามแนวทางดังกล่าว และให้สิทธิประโยชน์แก่เอกชนที่ร่วมผลิตบัณฑิตเพื่อเป็นการจูงใจเป็นพิเศษ
3) ขอให้ สป.อว. เร่งขยายจำนวนหลักสูตร CWIE ตามแนวทาง EEC Model Type A เพื่อรองรับความต้องการบุคลากรของ EECให้ได้ 100,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี
ดร.สุวิทย์ ยังได้เสนอให้พื้นที่ EEC ดึงดูดการลงทุนธุรกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) โดยมองว่าประเทศไทยมีต้นทุนทางทรัพยากรและศักยภาพในธุรกิจประเภทBCG อยู่แล้ว ทั้งด้านเกษตร อาหาร และการแพทย์และสุขภาพ และมองว่าหลังวิกฤต COVID-19 ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันสร้างอาชีพ สร้างงานใหม่ เพื่อรองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และอาชีพใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนแรงงานที่มีอยู่ในระบบ และนักศึกษาจบใหม่ต้องมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ Reskill Upskill ผ่านหลักสูตรการอบรมระยะต่าง ๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต และเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ประเทศไทยจะมีความพร้อมด้านกำลังคนที่มีทักษะรองรับการลงทุน
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC Model มีแผนในการสำรวจความต้องการบุคลากรหลังประเทศไทยเผชิญกับวิกฤต COVID-19 เพื่อทำเป็นฐานข้อมูลกลางว่าความต้องการกำลังคนได้รับผลกระทบและมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะนำมาสู่การวางแผนพัฒนากำลังคนให้ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศหลัง COVID-19 โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) พร้อมแลกเปลี่ยนแนวทางและแบบสำรวจฐานข้อมูลความต้องการกำลังคนที่ สอวช. เคยดำเนินการสำรวจ 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเจาะลึกถึงตำแหน่งงานและทักษะเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นแบบสำรวจกลางที่จะพัฒนาขึ้นมาร่วมกันระหว่างกระทรวงแรงงาน กระทรวง อว. กรมอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้ง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยจะใช้สำรวจผลกระทบและความต้องการแรงงานแบบบูรณาการร่วมกันต่อไป นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ยังได้เสนอให้มีการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่หรือคนว่างงาน ลงพื้นที่นำองค์ความรู้ช่วยชุมชน รวมถึงลงพื้นที่สำรวจข้อมูลผลกระทบและความต้องการแรงงานควบคู่ไปกับการใช้แบบฟอร์มสำรวจข้อมูล เพื่อสร้างงาน และให้นักศึกษามีรายได้อีกทางหนึ่งด้วย