บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท จำกัด ธุรกิจในกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจหลักอยู่ 4 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจด้านโลจิสติกส์, ธุรกิจด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม, ธุรกิจด้านสาธารณูปโภคและพลังงาน Power และธุรกิจด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มอย่างครบวงจร โดยมีบริการดาต้าเซ็นเตอร์ 4 แห่ง ได้นำแพลตฟอร์ม EcoStruxure สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และ Critical Facility Operations ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เข้ามาช่วยควบคุมดูแลกระบวนการทำงานต่าง ๆ ได้อย่างเต็มรูปแบบ สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทัั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 900 บริษัท ในดาต้าเซ็นเตอร์จังหวัดสมุทรปราการ
ไกรทส องค์ชัยศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท มีดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับลูกค้า 4 แห่ง เป็นเจ้าของ 100% อยู่ 2 แห่ง คือ จังหวัดสมุทรปราการและห้าแยกลาดพร้าว กรุงเทพฯ ส่วนอีก 2 แห่งเป็นการร่วมทุนระหว่างธุรกิจกับพันธมิตร เพื่อดำเนินธุรกิจสำหรับให้บริการทั้งระบบในการบริหารจัดการข้อมูลของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมและนอกนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ได้รับการบริการสัญญาณสื่อสารความเร็วสูง ที่เอื้อต่อการนำเทคโนโลยีใหม่ไปใช้ เช่น หุ่นยนต์, AI (Artificial Intelligence), IoT (Internet of Things) , Cloud Computing และ Big Data โดยดาต้าเซ็นเตอร์นี้ สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ได้ทุก ๆ บริษัท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าและบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่จังหวัดสมุทรปราการ อยู่ในระดับ Tier III ตามข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย ISO 27001 โดยในเฟสแรกลงทุนกว่า 400 ล้านบาท สามารถระบุว่าใครเข้ามาในพื้นที่บ้าง ต้องแจ้งขอเข้าพื้นที่ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน และตรวจสอบย้อนหลังได้ 90 วัน เพื่อป้องกันข้อมูลสำคัญรั่วไหล มีการควบคุมอุณหภูมิภายในดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไปประมาณ 21-24 ºC มีพนักงานดูแลทั้งหมด 10 คน ทำงานวันละ 6 คน แบ่งเป็นกะเช้า 4 คน และกะกลางคืน 2 คน เพื่อมอนิเตอร์ตรวจระบบผ่านคอมพิวเตอร์และการเดินตรวจเช็ครายงานผลตามมาตรฐาน ISO ที่กำหนด
นอกจากจะใช้ไฟฟ้าและมีเครื่องปั่นไฟสำรองในกรณีเกิดเหตุไฟฟ้าดับฉุกเฉินแล้ว ยังมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งบนหลังคาที่ผลิตได้โดยเฉลี่ยประมาณ 0.5 เมกะวัตต์
ส่วนการออกแบบมีการแยกสายเคเบิ้ลและสายไฟต่าง ๆ ที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน มีห้องทำงานแยกสีแดง สีน้ำเงิน เพื่อลดความผิดพลาดระหว่างซ่อมแซมและความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วลูกค้าจะมีการซ่อมบำรุงประจำปีในช่วงเดือนเมษายนของทุก ๆ ปี นอกจากนี้ภายในดาต้าเซ็นเตอร์นี้ยังมีห้องประชุม 3 ห้องรองรับลูกค้าได้มากสุด 80 คน สำหรับเจรจาธุรกิจ จัดฝึกอบรมพนักงาน และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ขณะนี้มีลูกค้าเข้าใช้บริการเต็มพื้นที่แล้วส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่สมุทรปราการ ใช้บริการ 24 ชั่วโมง ตลอดทุกวัน พร้อมรายงานและการรับประกันตามมาตรฐานระดับโลก ซึ่งในภาพรวมสามารถประหยัดการใช้พลังงานได้ถึง 15% และช่วยให้ระบบมีความพร้อมใช้งานเต็มกำลัง 100 % โดยมีทีมของชไนเดอร์ อิเล็คทริคดูแลระบบปฏิบัติต่าง ๆ ตลอดเวลา
ด้วยแพลตฟอร์ม EcoStruxure ช่วยให้การทำงานเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์ในระดับต่าง ๆ จนถึงระดับควบคุมปลายทาง ให้ทำงานง่าย มีความคล่องตัว และมีความปลอดภัยสูง การป้องกันข้อมูลรั่วไหลอยู่ในระดับสูงสุด มีการแจ้งเตือนความผิดปกติการเข้าถึงข้อมูลผ่านสมาร์ทดีไวซ์และแท็บเล็ต ด้วยข้อมูลเชิงลึกเเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติการของดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างต่อเนื่องได้ทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์ พร้อมกันนี้มีการนำบริการ Critical Facility Operations จากชไนเดอร์ อิเล็คทริคเข้ามาใช้เป็นรายแรกในประเทศไทย ซึ่งมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญร่วมดูแล ดำเนินการ และการแก้ไขปัญหา ให้แก่ดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่งที่ดับบลิวเอชเอเป็นเจ้าของ
ไกรทส กล่าวว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการเฟ้นหาพันธมิตรทางธุรกิจ และมองหาโซลูชั่น แพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในทุก ๆ กลุ่มโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่กว่า 70% ของบริษัทฯ ต้องการที่จะให้มีการอัพเดทโซลูชั่นใหม่ ๆ เพื่อใช้งานในทุก ๆ ปี โดยเฉพาะในกลุ่ม Automotive สำหรับในปี พ.ศ. 2563 บริษัทฯ จะเร่งพัฒนาโซลูชั่นและมองหานวัตกรรมสำหรับลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีกว่า 800บริษัท และเป็นลูกค้าชาวต่างประเทศกว่า 90 % ภายในดาต้าเซ็นเตอร์จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อให้บริการเชื่อมต่อสื่อสารสำหรับองค์กร บริการ System Integration รวมถึงบริการจัดหา IT Outsourcing ที่ลูกค้าต้องการ
สำหรับปัจจัยความเสี่ยงในการลงทุนในปี พ.ศ. 2563 ไกรทส มองว่า นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ผันผวนทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ข่าวไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนของทั่วโลกยากที่จะคาดเดาว่าจะยุติลงได้เมื่อใด ทั้งนี้บริษัทฯไม่ประมาทและเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความเสี่ยงดังกล่าวด้วย แต่ยังเชื่อมั่นว่าการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับลูกค้าในปี พ.ศ. 2563 ทั้งสมุทรปราการและห้าแยกลาดพร้าว จะสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ประมาณ 30-40 ล้านบาท
ในอนาคตนั้นบริษัทฯ วางเป้าไว้ว่าในปี พ.ศ. 2564 จะเป็นผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ครบวงจร และเป็นผู้นำดาต้าเซ็นเตอร์ด้าน Health Care ของโลก ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการตามแผนมองหาโซลูชั่น เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่สนับสนุนรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญมาร่วมทำการออกแบบการดำเนินงานบ้างแล้ว