กรุงเทพฯ -16 ธันวาคม 2563 : ณวรางค์ แอสเซท แย้มแผนปีพ.ศ. 2564 ขยายตลาดแนวราบและแนวสูงระดับซูเปอร์ลักซัวรี่เต็มสูบ ด้วยการเปิดตัว 3 โครงการใหม่ บน 3 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ พหลโยธิน, รามอินทรา และถนนหลังสวน มูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท ชูจุดเด่นเน้นความเป็นส่วนตัว (Privacy) และคุณภาพของสินค้า (Quality) สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของบริษัทฯ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนที่ชื่นชอบดีไซน์ไม่ซ้ำใคร ตั้งเป้ายอดขายปีหน้าแตะระดับ 1,000 ล้านบาท
อภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยตามไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมาว่า บริษัทฯยังคงดำเนินธุรกิจไปตามแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้ายอดรายได้ทั้งปีพ.ศ 2563 ที่ประมาณ 500 ล้านบาท โดยบริษัทฯ รับรู้ยอดโอน โครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ (Na Vara Residence) คอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น บนทำเลหลังสวน จำนวน 96 ยูนิต สามารถปิดการขายได้แล้ว 100% และ โครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ (Na Veera Phahol-Ari) คอนโดมิเนียม Low-rise 8 ชั้น ในซอยพหลโยธิน 14 ใกล้ BTS อารีย์ จำนวน 78 ยูนิต สามารถปิดการขายได้ 80% รวมมูลค่าประมาณ 520 ล้านบาท
ในช่วงต้นปีพ.ศ.2563 บริษัท ฯ ได้เปิดตัว โครงการ ณ รีวา เจริญนคร (Na Reva Charoennakhon) ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมสูง 29 ชั้น จำนวนทั้งหมด 253 ยูนิต วิวแม่น้ำเจ้าพระยา บนทำเลเจริญนคร ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนกับ “Paramount Corporation Berhad” บริษัทฯ อสังหาระดับ Top 10 ของประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันโครงการนี้ได้รับอนุมัติรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (EIA Approved) นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับ Dusit Hospitality Services (DHS) ในส่วนของการให้บริการกับลูกบ้านภายใต้มาตรฐานดุสิต “Guest Service Standards Trained by Dusit“
ผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้โครงการ ณ รีวา เจริญนคร มียอดขาย 30% เนื่องจากหยุดขายตั้งแต่เดือนเมษายน จนถึงไตรมาสที่ 4 ยอดขายเริ่มดีขึ้น สำหรับโครงการนี้จะทำตลาดที่ปีนัง และกัวาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย คาดว่าน่าจะมียอดขายเพิ่ม 20-30%
“ในปีพ.ศ. 2563 แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 แต่โดยรวมถือว่ากลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมยังคงไปได้ เนื่องจากความต้องการซื้ออยู่จริงของผู้บริโภคยังคงมี (Real Demand) ผนวกกับมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ จากภาครัฐฯ ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนทำให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจมากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานของ “ณวรางค์ แอสเซท” เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” อภิภู กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีพ.ศ. 2564 ว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโปรดักส์ใหม่อย่างต่อเนื่องมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้า Real Demand โดยเตรียมเปิดตัวทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 1 โครงการ, คอนโดมิเนียม Low-rise 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม High-rise 1 โครงการ ภายใต้แนวคิดหลักคือ เน้นเรื่องความ Privacy กับจำนวนยูนิตที่ไม่มาก เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และคุณภาพของสินค้า (Quality) ซึ่งเป็นสิ่งที่ “ณวรางค์ แอสเซท” ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยทุกโครงการจะต้องตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ สามารถเดินทางได้สะดวก ผสานฟังก์ชั่นดีไซน์ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยทำงานอายุ 35-60 ปี และกลุ่ม Successor ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวสูง และชื่นชอบดีไซน์สวยหรูไม่ซ้ำใคร
“ทิศทางการเติบโตในปีหน้าบริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น พิถีพิถันในการคัดเลือกวัสดุ รวมถึงการคัดสรรเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันให้กับลูกค้า โดยเจาะกลุ่มลูกค้า Mid to High Tier เพราะจากการสำรวจความต้องการของตลาดกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ในขณะเดียวกัน ก็เป็นกลุ่มที่มองหาสิ่งใหม่ๆ สะท้อนความเป็นตัวตนตามไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อ นับเป็นโอกาสที่ดีในการขยายฐานลูกค้าของบริษัทฯ รวมถึงมีแผนงานที่จะพัฒนาโครงการแนวสูงปีละ 1-2 โครงการ และโครงการแนวราบปีละ 2-3 โครงการ” อภิภู กล่าว
อภิภู กล่าวว่า ในปีพ.ศ. 2564 ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยน่าจะเติบโตขึ้น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 10% จากปีพ.ศ. 2563 หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาท พร้อมกันนี้ได้เตรียมวางแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปีหน้า
องคฤทธิ์ พรหมโยธี ประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด กล่าวว่า โครงการใหม่ทั้ง 3 โครงการที่กำลังจะเปิดตัวในปีพ.ศ. 2564 ได้แก่ โครงการ ณ ไอรา สายลม-อารีย์ (Na Ira Sailom-Ari) เป็น Vertical Residence สูง 7 ชั้น จำนวนเพียง 5 ยูนิต ถูกออกแบบภายใต้คอนเซปต์ Modern Nordic Classic เน้นความหรูหรา แต่ยังคงคำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยภายในรวมทั้งหมด 7 ชั้น ตั้งอยู่ในซอยสายลม (พหลโยธิน ซ.8) ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์และสนามเป้า มูลค่ารวม 220 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 400 ตารางเมตร/ยูนิต ขนาด 4 ห้องนอน จุดเด่นของโครงการ คือ สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นภายในบ้าน ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย อีกทั้งมีการจัดวางสระว่ายน้ำไว้บนชั้น Rooftop ซึ่งบริเวณนี้เชื่อมต่อไปยังห้องอเนกประสงค์ เพื่อรองรับกิจกรรมของคนในบ้านได้ทุกเพศทุกวัย และแก้ปัญหา COVID-19 ในราคาเริ่มต้น 38 ล้านบาท เปิดขายในไตรมาสแรกของปีหน้า
ส่วน โครงการ รามอินทรา– วงแหวน เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 18 ยูนิต มูลค่ารวม 280 ล้านบาท ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 60 ตารางวา ราคาขายเฉลี่ย 15 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้เชื่อมต่อกันระหว่างพื้นที่ภายในและภายนอก เพื่อให้ผู้ที่อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติรอบบ้านและมองเห็นสระว่ายน้ำจากบริเวณห้องนั่งเล่น รวมถึงการออกแบบที่คำนึงถึงผู้สูงอายุ (Universal Design)” นับเป็นโครงการบ้านเดี่ยวโครงการแรกของบริษัทฯ โดยเริ่มเปิดขายประมาณไตรมาส 2 ของปีพ.ศ.2564 และคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ บนทำเลหลังสวน 1 โครงการ ขนาด 1 ไร่ 12 ตารางวา สูง 25 ชั้น มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท มีแผนที่จะเริ่มเปิดขายภายในไตรมาส 4 ของปีพ.ศ. 2564 เช่นกัน