กรุงเทพฯ – ประเทศไทย – 17 กันยายน2563 :วีซ่าผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลกเปิดตัวเทคโนโลยีTap to Phoneพร้อมผลักดันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการชำระเงินเริ่มรับการชำระเงินโซลูชั่นใหม่อย่างTap to Phone เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อยและขนาดย่อม (SME) สามารถเข้าถึงเศรษฐกิจแบบดิจิทัลได้ในช่วงที่ผู้บริโภคและหลายธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้หันมาใช้บริการการชำระเงินรูปแบบดิจิตอลเพิ่มมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19
โดย โซลูชั่น Tap to Phone ช่วยให้ผู้ค้าสามารถรับการชำระเงินแบบคอนแทคเลสของวีซ่าได้โดยตรงผ่านสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่รองรับระบบNFC โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องรับการชำระเงินเพิ่มเติม
จากผลสำรวจฉบับล่าสุดของวีซ่าพบว่ามากกว่าครึ่งของผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกคิดเห็น55 เปอร์เซ็นต์สนใจจะใช้เทคโนโลยีการชำระอย่าง Tap to Phone ถึงแม้ว่าบริการดังกล่าวในขณะนี้จะยังไม่ได้มีให้ใช้อย่างแพร่หลายในภูมิภาคนี้ก็ตามโดยกลุ่มผู้บริโภคที่มีความสนใจใช้บริการมากที่สุดคือประเทศมาเลเซีย64 เปอร์เซ็นต์ตามด้วยไต้หวัน62 เปอร์เซ็นต์ฮ่องกง62 เปอร์เซ็นต์และอินเดีย55 เปอร์เซ็นต์
การศึกษาฉบับนี้สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อโซลูชั่นใหม่อย่างTap to Phoneเริ่มมีการใช้งานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผู้บริโภคจะหันมาใช้การชำระเงินรูปแบบใหม่นี้ ด้วยคุ้นเคยกับการชำระเงินในรูปแบบคอนแทคเลสอยู่แล้ว
คริส คลาร์ก ประธานบริหารวีซ่าประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนำหน้าภูมิภาคอื่นในเรื่องการชำระเงินแบบคอนแทคเลสซึ่งปัจจุบันคิดเป็น44 เปอร์เซ็นต์ของการทำธุรกรรม ณร้านค้าของวีซ่าในภูมิภาคนี้และมีสัดส่วนมากกว่า70 เปอร์เซ็นต์ของตลาดหลักๆของวีซ่า
“จากประสบการณ์ในการใช้Tap to Phone ของผู้บริโภคมีความคล้ายคลึงกันอย่างมากซึ่งรวมถึงฟีเจอร์ในเรื่องของความปลอดภัยอีกด้วยแทนที่จะแตะบัตรสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่นๆที่เครื่องรับชำระเงินของร้านค้าผู้บริโภคสามารถแตะเพื่อจ่ายที่สมาร์ทโฟนของผู้ค้าเพื่อชำระเงินได้เลย
ในส่วนของผู้ค้าเองด้วยวิธีการนี้จะช่วยให้พวกเขารับการชำระเงินรูปแบบดิจิทัลได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องรับชำระเงินแยกต่างหากสำหรับธุรกิจขนาดย่อยและขนาดย่อม (SME) โซลูชั่น Tap to Phone ถือเป็นบริการรับชำระเงินที่ย่อมเยากว่าในการรับบัตรวีซ่าและได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการค้าในรูปแบบดิจิทัล” คริสกล่าว
นอกจากนี้การชำระเงินแบบ Tap to Phone ยังช่วยจัดการระบบรับชำระเงินหน้าร้านง่ายดายยิ่งขึ้นและยังเอื้อประโยชน์ให้ต่อผู้บริโภคอีกด้วยโดยมากกว่าครึ่งของผู้บริโภคคิดเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าความง่ายดายในการใช้งานถูกจัดให้เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดในการผลักดันให้พวกเขาทดลองใช้บริการตามด้วยการประหยัดเวลา 51 เปอร์เซ็นต์และการที่ไม่ต้องยุ่งยากพกเงินสด 50 เปอร์เซ็นต์
ผู้บริโภค 43 เปอร์เซ็นต์จัดให้เรื่องความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขายอมรับการชำระเงินแบบ Tap to Phone อย่างไรก็ตามวีซ่าเชื่อว่าทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมการชำระเงินยังต้องร่วมกันให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะประเด็นการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลด้านการเงินซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคให้ความกังวลมากที่สุดเมื่อใช้การชำระเงินแบบ Tap to Phone
ทั้งนี้ โซลูชั่น Tap to Phone ได้วางระบบรักษาความปลอดภัยไว้หลายชั้นทั้งในฝั่งของผู้ซื้อและผู้ขายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานขั้นสูงสุดด้านความปลอดภัยของวีซ่าแต่ละบริการต้องผ่านกระบวนการรับรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนรวมถึงการประเมินด้านความปลอดภัยโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการรับรองระบบบริหารคุณภาพห้องปฏิบัติการไม่เพียงเท่านั้นบริการรับชำระเงินเหล่านี้ยังได้รับการสนับสนุนโดยมาตรฐานทางอุตสาหกรรมที่ได้รับการพัฒนาและออกหนังสือรับรองโดยคณะกรรมการมาตรฐานความปลอดภัยสารสนเทศ (PCI)
การศึกษาของวีซ่ายังมองไปที่กลุ่มธุรกิจร้านค้าที่ผู้บริโภคมีความสนใจชำระเงินผ่านเทคโนโลยี Tap to Phone โดยร้านสะดวกซื้อได้รับเลือกถึง59เปอร์เซ็นต์ของผู้ร่วมทำการสำรวจทั้งหมด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความต้องการด้านธุรกรรมที่มีความรวดเร็วและง่ายดาย นอกจากนี้มากกว่าครึ่งคิดเป็น56เปอร์เซ็นต์ต้องการชำระเงินโดยไม่ต้องลุกออกจากโต๊ะอาหารโดยที่ไม่ต้องยื่นบัตรให้บริการธุรกิจฟู้ดคอร์ทและสตรีทฟู้ดถูกจัดเป็นอันดับที่สามหรือ52 เปอร์เซ็นต์ที่ผู้บริโภคสนใจในโซลูชั่นนี้
“ลูกค้าที่ใช้บริการที่ร้านสะดวกซื้อร้านอาหารและร้านค้าที่ให้บริการแบบเร่งด่วนอย่างฟู้ดคอร์ทนั้นไม่ต้องการเสียเวลาไปกับการทำธุรกรรมที่มีหลายขั้นตอน”
“สำหรับผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้ความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้าถือเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดโซลูชั่นTap to Phone ถือเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงินสำหรับธุรกิจเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งภพวกเขายังไม่เคยใช้การชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลมาก่อนและเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสร้างโอกาสทางธุรกิจวีซ่าได้ร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆเพื่อนำโซลูชั่นนี้มาให้บริการมากขึ้นในเอเชียแปซิฟิก”คริสกล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบันวีซ่าได้มอบใบอนุญาตแก่ผู้ให้บริการเทคโนโลยี 9 รายและยังได้ทำงานร่วมกับธนาคารและฟินเทคต่างๆในการนำเทคโนโลยีนี้เข้าสู่ตลาดและล่าสุดวีซ่าและพันธมิตรได้เปิดตัวโซลูชั่น Tap to Phone แล้วที่มาเลเซียและอินเดียโดยจะทยอยเปิดตัวในตลาดอื่นๆทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้
อนึ่งการศึกษาเกี่ยวกับโซลูชั่น Tap to Phone ของวีซ่าเอเชียแปซิฟิกดำเนินการโดยYouGovระหว่างวันที่ 16-20 กรกฎาคม 2563 ในกลุ่มประชากรจำนวน 6,832 คนอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปในออสเตรเลียฮ่องกงอินเดียมาเลเซียนิวซีแลนด์สิงคโปร์และไต้หวัน