กระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามความร่วมมือกับกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ประเทศญี่ปุ่น เป็นครั้งที่ 2 เพื่อแสดงเจตจำนง ภายใต้กรอบความร่วมมือ “ Framework Document on Co-Creation for Innovative and Sustainable Growth” มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี การสร้างขีดความสามารถในทุนมนุษย์ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการกระตุ้นการเติบโตให้กับผู้ประกอบการรายย่อย (SME) และการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง เพื่อผลักดันการลงทุนจากภาคอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น ใช้ไทยเป็นฐานการลงทุน สร้างความเชื่อมโยง และพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาค รวมถึงแลกเปลี่ยนศักยภาพที่โดดเด่นของทั้งไทยและญี่ปุ่นเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในมิติต่างๆร่วมกัน
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ.2563 จนถึงปัจจุบันก็ยังคงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมในหลายๆประเทศ เช่นเดียวกับประเทศไทย แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ประเทศไทยมีคู่ค้าทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างประเทศที่ยังคงให้ความไว้วางใจประเทศไทยเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง จากการศึกษาข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ปีพ.ศ.2564 ที่ผ่านมา พบว่า แหล่งที่มาของมูลค่าเงินลงทุนในโครงการต่างชาติที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนมาจากญี่ปุ่น คิดเป็น 19% ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด โดยมูลค่าเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจากโครงการขนาดใหญ่ ที่มีเงินลงทุนตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เช่น กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี (PET Resin) มูลค่า 3,062 ล้านบาท กิจการผลิตด้ายหรือผ้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ มูลค่า 2,597 ล้านบาท กิจการวิจัยและพัฒนา การผลิตที่ใช้เซลล์จุลินทรีย์ เซลล์พืช และเซลล์)มูลค่า 1,990 ล้านบาท กิจการผลิตตลับลูกปืนสำหรับยานพาหนะ มูลค่า 1,680 ล้านบาท และในช่วง 9 เดือนแรกของปีพ.ศ.2564ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นมีจำนวนโครงการที่ยื่นขอรับ การส่งเสริมมากที่สุด 125 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 67,817 ล้านบาทและเพื่อให้การร่วมเป็นคู่ค้าและพันธมิตรสานต่อความสัมพันธ์ที่ดีต่อเนื่องกันทางกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้หารือแนวทางเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม กับ ฮากิอูดะ โคอิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ประเทศญี่ปุ่น ในโอกาสมาเยือนประเทศไทย เพื่อหารือแนวทางการรองรับกับความเปลี่ยนแปลงและผันผวนที่เกิดขึ้น โดยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) ร่วมกับนโยบายการลงทุนเอเชีย-ญี่ปุ่นเพื่ออนาคต (ASIA-Japan Investing for the Future Initiative : AJIF) โดยกำหนดเป็นกรอบความร่วมมือในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ภายใต้ชื่อ “Framework Document on Co-Creation for Innovative and Sustainable Growth” มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี การสร้างขีดความสามารถในทุนมนุษย์ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการกระตุ้นการเติบโตให้กับ SME และการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง เพื่อผลักดันการลงทุนจากภาคอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น ใช้ไทยเป็นฐานการลงทุน สร้างความเชื่อมโยง และพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาค รวมถึงแลกเปลี่ยนศักยภาพที่โดดเด่นของทั้งไทยและญี่ปุ่นเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในมิติต่างๆร่วมกัน
สำหรับแนวทางการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือ Framework Document on Co-Creation for Innovative and Sustainable Growth ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและการสร้างขีดความสามารถในทุนมนุษย์ เป็นการร่วมมือกันเพื่อพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ การเดินอากาศ โลจิสติกส์ ดิจิทัล ศูนย์กลางด้านสุขภาพ อุตสาหกรรมชีวภาพ ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อส่งเสริมการร่วมกันสร้างเพื่อการพัฒนาเชิงนวัตกรรมอย่างยั่งยืนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้สำหรับวิศวกรในโรงงานอัจฉริยะ 2.ด้านการเร่งพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เป็นการร่วมมือกับศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อนาคตสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย ในการแนะนำการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ เชื่อมโยงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระหว่างไทยและญี่ปุ่นผ่านความร่วมมือต่างๆ และ3.ด้านการร่วมกันสร้างห่วงโซ่อุปทาน เป็นการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่นและมีความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ปรับปรุงคุณภาพและมูลค่าของห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงการสร้างห่วงโซ่อุปทานหมุนเวียนและสีเขียว ซึ่งทั้งสองประเทศจะนำบุคลากรที่มีความรู้และความสามารถทั้งบุคคลรุ่นเก่าและรุ่นใหม่มาร่วมทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพจริงอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมมีโครงการความร่วมมือกับกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ประเทศญี่ปุ่น เช่น 1.โครงการจัดตั้งศูนย์ต้นแบบการจัดการซากยานยนต์แบบครบวงจรในประเทศไทย หรือ โครงการ “Establishment of Comprehensive End-of-Life Vehicles (ELVs) Management System in Thailand”การกำจัดขยะรถยนต์ไทยกำลังประสบปัญหาอย่างมาก โครงการ “การศึกษาเพื่อการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ร่วมกับกนอ. ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์นโยบาย BCG ของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี 2.โครงการ Lean Automation System Integrator LASI (ลาซี่), โครงการ Lean IoT Plant Management and Execution LIPE (หลีเป๊ะ) และโครงการ Smart Monosukuri (สมาร์ท โมโนซูกุริ) ที่เข้ามาพัฒนาศักยภาพบุคลากรยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้เป็น System Integrator (SI) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่โรงงานอัจฉริยะที่ทันสมัย ด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) ซึ่งเป็นกลไกในการเพิ่มศักยภาพการผลิต
ฮากิอูดะ โคอิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า การร่วมมือกับประเทศไทยในการร่วมลงนามในวันนี้ ถือเป็นการเสริมสร้างการลงทุน และความมั่นคงระหว่างทั้งสองประเทศ ให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น สอดรับกับเป้าหมายของรัฐบาลญี่ปุ่น คือ นโยบายการลงทุนเอเชีย-ญี่ปุ่นเพื่ออนาคต (ASIA-Japan Investing for the Future Initiative : AJIF) ซึ่งทางญี่ปุ่นพร้อมให้ความร่วมมือในการทำงานทุกๆด้านร่วมกันพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี พัฒนาบุคลากร ยกระดับผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงเทคโนโลยี และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน