กรุงเทพฯ – 6 มีนาคม 2567 : เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พร้อมด้วย รพันธ์ อัศวะธนะกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานร่วมในการแถลงข่าวการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนมีนาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
เกรียงไกร ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จีนได้ประกาศว่าเศรษฐกิจในปี2567 จะเติบโต 5% โดยที่ประชุมกกร.ได้มองว่าเศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตได้แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศหลักเดือนกุมภาพันธ์มีแนวโน้มเติบโตจากภาคบริการเป็นหลัก อย่างไรก็ตามเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯด้านแรงงานเริ่มมีแนวโน้มแผ่วลง ส่วนจีนนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีจำกัด สำหรับปัญหาวิกฤตในทะเลแดงส่งผลให้ค่าระวางเรือยังอยู่ในระดับสูง ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้าไทย ล่าสุดประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย แจ้งว่ามีจำนวนเรือ 50 ลำจากปกติที่ถูกโจมตีไม่มีเรือสักลำ สถานการณ์คลี่คลาย คาดว่าการฟื้นตัวการส่งออกน่าจะดีขึ้น ถ้าสถานการณ์ไม่บานปลาย อีกทั้งใกล้เทศกาลรอมดอน อาจมีการเจรจาให้หยุดยิ่งได้
ขณะที่ภาคเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอจากหลายปัจจัย โดยการส่งออกยังฟื้นตัวได้ช้า การท่องเที่ยวยังไม่กลับเข้าสู่ระดับเดิม และกำลังซื้อภายในประเทศถูกกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน แม้ภาคการส่งออกมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้แต่คาดว่าทั้งปีมูลค่าการส่งออกจะเติบโตได้ในระดับต่ำ อีกทั้งความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศยังมีสูง ขณะที่อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับต่ำ สำหรับการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ จากนโยบาย Free Visa โดยที่จีนกลับมาเป็นอันดับ 1 อันดับ 2 คือ มาเลเซีย และตามด้วยรัสเซีย คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 34-35 ล้านคนตามเป้า แต่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนยังต่ำกว่าระดับก่อน COVID-19ถึง 50% เนื่องจากชาวจีนหันไปท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก อีกทั้งการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจากยังค่อนข้างต่ำกว่าเป้า ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นด้วยกับมาตรการ Soft Power ที่จะเข้ามาเสริมให้การท่องเที่ยวสร้างรายไดเเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณเพิ่ม เงินเพิ่ม ส่งผลให้ GDP ดีขึ้น
ในส่วนของปัญหาหนี้และกำลังซื้อภายในประเทศที่มีแนวโน้มอ่อนแอจะเป็นปัจจัยกดดันการบริโภคของครัวเรือนต่อไป โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนแตะ 90.9% ยังไม่รวมหนี้นอกระบบ ในต่างจังหวัดค่อนข้างมีปัญหาสินเชื่อ เครดิตบูโรทำให้ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ บ้านราคา 1-3 ล้านบาท ในเรื่องนี้ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยประชาชน เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมทั้งหามาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนมากขึ้น
ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ จากเดิมที่ล่าช้า มีแนวโน้มปรับดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 จากปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ปรับเร็วขึ้น โดยเริ่มเดือนพฤษภาคม เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการประคองเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง และจะสนับสนุนการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในระยะข้างหน้า รวมทั้งมาตรการ Soft Power น่าจะช่วยสนับสนุนให้ GDP ดีขึ้น ดังนั้น คาดว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ในกรอบ 2.8-3.3% ตามที่ประเมินไว้เดิม ส่วนการส่งออกและเงินเฟ้อยังยืนตามเดือนกุมภาพันธ์
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ของ กกร.
%YoY | ปี 2566
(ณ ธ.ค. 66) |
ปี 2567
(ณ ก.พ. 67) |
ปี 2567
(ณ มี.ค. 67) |
GDP | 1.9* | 2.8 ถึง 3.3 | 2.8 ถึง 3.3 |
ส่งออก | -1.7* | 2.0 ถึง 3.0 | 2.0 ถึง 3.0 |
เงินเฟ้อ | 1.2* | 0.7 ถึง 1.2 | 0.7 ถึง 1.2 |
หมายเหตุ: *เลขจริง
เกรียงไกร กล่าวต่อว่า ในปี 2566 แพทย์ได้ระบุตัวเลขผู้ป่วยจากฝุ่น PM2.5 สูงถึง10 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 70 ล้านคน ซึ่งเรื่องนี้ กกร.ให้ความสำคัญ โดยต้นเหตุฝุ่น PM2.5 เกิดจากการเผาพืชผลทางการเกษตรที่เหลือใช้ 50% ภาคขนส่ง 10% โรงงานอุตสาหกรรม และ ภาคอื่นๆ 6-7%
กกร. ให้ความสำคัญกับกลไกการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ผ่าน ร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ที่ ครม. ได้มีมติรับหลักการ และมอบให้คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาปรับแก้ไขร่าง พ.ร.บ. อยู่นั้น ดังนั้น เพื่อให้การกลไกการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศมีความยั่งยืน และครอบคลุมปัญหาในทุกมิติทั้งจากปัญหา PM2.5 การเผาในที่โล่ง มลพิษจากภาคขนส่ง และมลพิษข้ามแดน กกร. จึงมีข้อเสนอแนะต่อการจัดทำ ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ ดังนี้
- เสนอให้มีผู้แทนภาคเอกชนจำนวน 4 ท่านเท่ากับภาคประชาชนเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการขับเคลื่อน 3 คณะ ภายใต้ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ประกอบด้วย 1) คณะกรรมการนโยบายอากาศสะอาด 2) คณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด 3) คณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน
- บูรณาการการกำกับดูแล ด้านมาตรฐานคุณภาพอากาศสะอาด ดัชนีคุณภาพอากาศ และมาตรฐานการควบคุมต่างๆ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน 3. ทบทวนการวางหลักประกันความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในการขออนุญาตประกอบกิจการ โดยควรนำเอาระบบการซื้อประกันภัยมาใช้ทดแทนในกรณีที่เกิดความเสียหาย รวมทั้งปรับบทลงโทษผู้กระทำความผิดให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม
- ทบทวนการปรับปรุงเงื่อนไขและข้อจำกัดการใช้เงินกองทุนสิ่งแวดล้อม โดยวางระเบียบให้ยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถนำงบประมาณมาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการกำหนดมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
- ศึกษาความเหมาะสมและรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ. โดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
“กกร.เรียกร้องขอให้มี Master Plan แผนใหญ่ระดับชาติ โดยมีเจ้าภาพที่เกี่ยวข้อง พอมีปัญหาหลายกระทรวงต่างเร่งทำ ซึ่งต่างคนต่างทำ ทำให้ทำงานทับซ้อนกัน อยากให้กำกับดูแลและบูรณาการร่วมกันมากกว่านี้” ประธานส.อ.ท. กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. มีความกังวลถึงเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของผักและผลไม้ที่นำเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศไทย โดยในเดือนมกราคมเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมา การนำเข้าสินค้าได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 13,275.20 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.45 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการที่ผักและผลไม้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ส่งผลให้ภาครัฐต้องเข้มงวดเรื่องการตรวจสอบคุณภาพเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสารตกค้างและยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงเสนอให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ช่วยรัดกุมในการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าผักและผลไม้ รวมทั้ง เพิ่มกำลังคนและเครื่องมืออุปกรณ์ในการตรวจสอบสินค้าผักและผลไม้ที่เข้ามาเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคภายในประเทศ