เอสซีจี ปรับตัวสู่โลกใหม่ เดินหน้า “Green Transformation” ปั้นนวัตกรรมคาร์บอนต่ำ-สินค้ายั่งยืน ตอบโจทย์ธุรกิจสีเขียว


ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ เอสซีจี (SCG) ยังคงยืนหยัดด้วยแนวทาง “ปรับตัวอย่างมีวินัย เดินหน้าด้วยความยั่งยืน” สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจชะลอตัว แต่สามารถรักษากระแสเงินสดและกำไรไว้ได้อย่างมั่นคง ด้วยกลยุทธ์ขับเคลื่อน 3 ธุรกิจหลัก ทั้งซีเมนต์, Green Solutions และบรรจุภัณฑ์ พร้อมปรับตัวด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี AI และแนวคิด Green Transformation เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

จากซีเมนต์คาร์บอนต่ำ “LC3” ที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 30% ไปจนถึงแครกเกอร์แห่งใหม่ “LSP” ในเวียดนามที่ปรับการใช้วัตถุดิบได้ยืดหยุ่นสูงสุด 70% และการเพิ่มสัดส่วนสินค้ากรีน-HVA-Smart Value เพื่อตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความยั่งยืนไม่ใช่เพียงเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อม แต่คือยุทธศาสตร์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจโลก

เร่งปรับโครงสร้างธุรกิจ เดินหน้าสินค้า Smart Value–HVA–กรีน

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกและไทยในไตรมาส 3 ปี 2568 ยังเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้า ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งรัสเซีย–ยูเครน และเงินบาทแข็งค่า 5% สูงสุดในรอบ 4 ปี ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า GDP โลกปี 2568–2569 จะชะลอตัวเหลือ 3.2% และ 3.1% ส่วนไทยเติบโตเพียง 2% และอาจชะลอเหลือ 1.6% ในปีถัดไป เอสซีจีจึงเร่งปรับโครงสร้างธุรกิจ รักษาวินัยทางการเงิน ลดต้นทุน และพัฒนาสินค้า Smart Value–HVA–กรีน เพื่อตอบโจทย์ตลาดและสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 เอสซีจีมีกระแสเงินสด (EBITDA) 14,191 ล้านบาท และกำไร 774 ล้านบาท (ไม่รวมผลขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 1,348 ล้านบาท) หากรวมรายการพิเศษจะขาดทุน 669 ล้านบาท รายได้จากการขายอยู่ที่ 121,793 ล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อนตามฤดูกาลธุรกิจก่อสร้าง

ธุรกิจซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์มีกำไร 1,583 ล้านบาท จากการขยายตลาดปูนคาร์บอนต่ำในไทยและอาเซียน ส่วนเอสซีจี เดคคอร์ มีกำไร 305 ล้านบาท โดยใช้ PRIME เวียดนามเป็นฐานผลิตส่งออก และธุรกิจสมาร์ทลีฟวิงกับดิสทริบิวชันฯ มีกำไร 60 ล้านบาท จากการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติช่วยลดต้นทุน ขณะที่เอสซีจีซีขาดทุน 3,999 ล้านบาท จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง แต่ยังคงกำลังผลิตได้ 85–90% พร้อมบริหารวัตถุดิบยืดหยุ่นระหว่างโพรเพนและแนฟทา ส่วนเอสซีจีพีมีกำไร 953 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน และเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนเป็น 38.6% ของพลังงานทั้งหมด

“เรามองเรื่อง Taxonomy มาหลายปี โดยเฉพาะใน Scope 3 เพราะเราถือเป็น Scope 3 ของลูกค้าโดยตรง ซึ่งหากลูกค้าใช้สินค้าที่ก่อคาร์บอน เราก็มีส่วนในรอยเท้าคาร์บอนนั้นด้วย เราจึงต้องสร้างทางเลือกที่ดีกว่าให้ลูกค้า โดยการพัฒนา Green Product อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าตอบโจทย์เกณฑ์ Taxonomy ได้ใน Scope 3 พร้อมเดินหน้าลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานได้จริง” ธรรมศักดิ์ กล่าว

ศักยภาพการเงินแกร่ง 9 เดือนแรกปี 2568 กำไรพุ่ง 159%

ด้านจันทิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การเงินและการลงทุน เอสซีจี เปิดเผยว่า ผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 มีกระแสเงินสด (EBITDA) 44,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% และมีกำไร 17,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159% แม้รายได้จากการขายลดลง 3% เหลือ 370,870 ล้านบาท สะท้อนการบริหารจัดการที่มีวินัยและรอบคอบ โดยเงินทุนหมุนเวียนลดลง 21,571 ล้านบาท หนี้สินสุทธิลดลง 32,226 ล้านบาท และต้นทุนทางการเงินลดลง 193 ล้านบาท ทำให้อัตราหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ 4.7 เท่า และมีเงินสดคงเหลือ 50,662 ล้านบาท

4 กลยุทธ์ปรับตัวเสริมภูมิ สู่การเติบโตระยะยาว

เอสซีจีเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การปรับตัวอย่างทันท่วงทีคือ “ภูมิคุ้มกันที่ถูกทาง” ที่ช่วยให้บริษัทฯ มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์หลัก 4 ด้าน ได้แก่

  1. รักษาวินัยทางการเงินและบริหารกระแสเงินสดมั่นคง ใช้เทคโนโลยี AI และ Robotics ลดต้นทุนในสายการผลิต เช่น เอสซีจี เดคคอร์ ลดต้นทุนได้กว่า 20% ต่อปี และเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิงใช้ระบบอัตโนมัติจัดการวัตถุดิบ
  2. รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ เช่น การควบรวบไลน์ผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีตที่ลำพูน ลดต้นทุนได้กว่า 10 ล้านบาทต่อปี
  3. รุกตลาดเวียดนามเป็นฐานการผลิตใหม่เพื่อส่งออก จากเศรษฐกิจเวียดนามที่เติบโต 7% เอสซีจีจึงเพิ่มกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำ 8,000 ตันต่อวัน และขยายการผลิตเซรามิกเพื่อส่งออก รวมถึงเดินหน้าโครงการ LSPE ที่จะแล้วเสร็จปลายปี 2570 เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
  4. ขยายพอร์ตสินค้า Smart Value–HVA–กรีน เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยสินค้า “คุณภาพดี–ราคาคุ้มค่า” เช่น ปูนดูร่าวัน กระเบื้องหลังคาเซรามิก Celica SRA พื้น–ประตู UNIX เหล็ก TOPSTEEL และแพกเกจบริการ SCG Saver Roof รวมถึงบริการปรับปรุงบ้านจากคิวช่าง ซึ่งได้รับความนิยมต่อเนื่อง พร้อมเร่งเพิ่มกำลังผลิตสินค้ากรีนและสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

“ข้อมูลด้านความยั่งยืน (Sustainability Data) ถือเป็นเหมือน ‘สกุลเงินใหม่ของโลกธุรกิจ’ เพราะปัจจุบันการประเมินมูลค่าธุรกิจไม่ได้ดูเพียงตัวเลขในงบการเงิน แต่ยังต้องคำนึงถึงความยั่งยืน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจนั้นมีศักยภาพในการดำเนินต่ออย่างมั่นคงในระยะยาวหรือไม่” จันทิดา กล่าว

SCGC สร้างภูมิคุ้มกันปิโตรเคมี ด้วยแครกเกอร์ยืดหยุ่น

ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 ธุรกิจปิโตรเคมียังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดน้ำมันและก๊าซที่มีความผันผวนสูงจากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ส่งผลให้ส่วนต่างกำไรของเม็ดพลาสติกลดลง และราคาวัตถุดิบอย่างโพรเพนยังคงทรงตัวในระดับสูงจากความต้องการใช้ในจีน

ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ SCGC เดินหน้าปรับกลยุทธ์เพื่อเสริมความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงด้านต้นทุน เริ่มจากการ ซื้อโพรเพนล่วงหน้าเพื่อล็อกต้นทุน, การ เพิ่มสัดส่วนสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เป็น 60% ของพอร์ตผลิตภัณฑ์ และการขายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลตอบแทน เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงการที่จำเป็น เช่น โรงงาน Long Son Petrochemicals (LSP) ที่เวียดนาม ซึ่งเป็นแครกเกอร์แห่งแรกของโลกที่สามารถปรับสัดส่วนการใช้โพรเพนและแนฟทาได้ยืดหยุ่นถึง 70% ช่วยให้บริษัทบริหารต้นทุนได้ดีกว่าคู่แข่งในภาวะตลาดผันผวน

สร้างโมเดลธุรกิจครบวงจร พัฒนา “ฝาจุกไร้ขยะ-อาคารประหยัดพลังงาน”

นอกจากการบริหารเชิงกลยุทธ์ SCGC ยังเดินหน้าสร้าง “ธุรกิจสีเขียว” อย่างจริงจัง ผ่าน โครงการรีไซเคิลทั้งเคมิคัลและแมคคานิคัล เพื่อรองรับความต้องการของเจ้าของแบรนด์ระดับโลกที่ยินดีจ่ายแพงขึ้นสำหรับวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น “ฝาจุกขวดโค้กไร้ขยะ (Zero Waste Cap)” ที่ SCGC พัฒนาเป็นรายแรกของไทย ซึ่งยังคงแรงดันก๊าซได้เทียบเท่าฝาแบบเดิม

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ กำลังทดลองใช้เทคโนโลยีด้านพลังงาน เช่น ระบบปรับอากาศอัจฉริยะในอาคารต้นแบบ ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 20–30% หากสำเร็จ SCGC จะขยายผลสู่การใช้งานในอาคารทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางใหม่ของบริษัทที่มุ่งผสาน “ประสิทธิภาพทางธุรกิจ” เข้ากับ “ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม” อย่างเป็นรูปธรรม

ใช้เชื้อเพลิงทดแทน–Automation เสริมประสิทธิภาพ เปิดเกมใหม่ด้วยปูนคาร์บอนต่ำ LC3

สุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี แอนด์ กรีนโซลูชันส์ กล่าวว่า ตลาดวัสดุก่อสร้างในไตรมาส 3 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยมีแรงหนุนหลักจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐและการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 60–70% ของตลาดและยังคงเติบโตได้ดี ขณะที่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม ขยายตัวโดดเด่นกว่า 10% จากมาตรการลงทุนของภาครัฐ ทำให้บริษัทมีกำไร 1,600 ล้านบาท แม้อยู่ในช่วงโลว์ซีซันของภาคก่อสร้างในไทย

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งคือการ ลดต้นทุนการผลิต ผ่านการใช้เชื้อเพลิงทดแทน เช่น ไบโอแมสและ RDF แทนถ่านหิน พร้อมเดินหน้าระบบ Automation ในสายการผลิตซีเมนต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซ้ำซ้อนของแรงงาน นอกจากนี้ เอสซีจียังเตรียมเปิดตัว ปูนคาร์บอนต่ำรุ่นใหม่ “LC3” ซึ่งใช้เทคโนโลยีผสม ดินขาวเผา (Calcined Clay) ช่วยลดการใช้ปูนเม็ดและลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 30% ขณะเดียวกันต้นทุนการผลิตยังต่ำกว่าปูนรุ่นก่อนหน้า ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่