ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญปัญหาขยะอาหารในปริมาณสูงถึงเกือบ 10 ล้านตันต่อปี โดยในจำนวนนี้ประมาณ 4 ล้านตันยังคงอยู่ในสภาพที่สามารถบริโภคได้ ขณะเดียวกันประเทศไทยยังมีประชากรจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเพียงพออย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ หรือผู้ประสบปัญหาทางสังคมต่าง ๆ การสูญเสียอาหารในระดับนี้จึงไม่ใช่เพียงปัญหาเชิงเศรษฐกิจที่สะท้อนถึงการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง เนื่องจากอาหารที่ถูกทิ้งในหลุมฝังกลบจะย่อยสลายและปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่า การจัดการปัญหาขยะอาหารจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี และมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) ลงนามความร่วมมือใน “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน” โดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหาร (Local Food Rescue) เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี อาทิ ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ประสบภัย ควบคู่ไปกับการลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนา “ปทุมธานีต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน (Pathum Thani Food Bank Model)” เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาการเข้าถึงอาหารและการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างยั่งยืน
ทวี อิ่มพูลทรัพย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย มูลนิธิ สโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) เปิดเผยว่า โครงการรักษ์อาหาร เป็นโครงการที่ SOS ได้ริเริ่มขึ้นด้วยความตระหนักถึงปัญหาอาหารเหลือทิ้งและความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้ด้อยโอกาสและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง โดยเชื่อว่าการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน จะเป็นพลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จึงเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการรักษ์อาหาร จ.ปทุมธานี ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาระบบการจัดการอาหารส่วนเกิน สร้างความตระหนักรู้เรื่องการบริโภคอาหารอย่างยั่งยืน สนับสนุนการเข้าถึงอาหารของผู้ด้อยโอกาส และนับเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ยั่งยืน และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมไทยในวงกว้างผ่านการดูแลและประสานงานของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี เพื่อพัฒนาส่งเสริมศักยภาพของประชากรในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง โดยได้ร่วมกันสำรวจข้อมูลและระบุกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ พร้อมทั้งประสานงานกับตัวกลางที่มีศักยภาพในการส่งต่ออาหารส่วนเกินอย่างทั่วถึง เพื่อให้ความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงผู้ที่ต้องการได้จริง นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมในการสร้างและสนับสนุนเครือข่ายอาสาสมัครพัฒนาสังคม และเครือข่ายองค์กรชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโครงการ ตลอดจนประสานการเชื่อมโยงกับผู้รับอาหารส่วนเกินในพื้นที่ ร่วมกับอาสาสมัครและจิตอาสา รวมถึงการประชาสัมพันธ์และสื่อสารข้อมูลของโครงการให้ครอบคลุมและเข้าถึงเครือข่ายในพื้นที่อย่างทั่วถึง
หนึ่งในเครือข่ายความร่วมมือสำคัญของโครงการคือ “ตลาดสี่มุมเมือง” ซึ่งเป็นศูนย์กลางค้าส่งผักและผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ธัชวัสส์ นภารัตน์ หัวหน้าแผนกพัฒนาความยั่งยืนของตลาดฯ เปิดเผยว่า ทางตลาดได้ร่วมมือกับมูลนิธิ SOS ในการขยายเครือข่ายชุมชนที่เข้ามารับผักและผลไม้ส่วนเกินจากตลาด โดยเฉพาะสินค้าที่จำหน่ายไม่หมดในแต่ละวัน ซึ่งเดิมทีพ่อค้าแม่ค้าในตลาดจะต้องนำไปกำจัดทิ้ง มีปริมาณรวมสูงถึงประมาณ 10 ตันต่อวัน ปัจจุบันตลาดได้จัดระบบรวบรวมผักและผลไม้ที่ยังอยู่ในสภาพดี และส่งต่อให้กับ SOS เพื่อกระจายไปยังชุมชนหรือกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือ ส่วนผลผลิตที่เน่าเสียหรือไม่เหมาะสมในการบริโภคจริง ๆ ก็จะถูกแยกออกเพื่อนำไปทิ้งอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ตลาดสี่มุมเมืองได้ดำเนินโครงการดังกล่าวมาแล้วกว่า 1 ปี โดยมีเป้าหมายใหญ่คือการก้าวสู่ความเป็นตลาดค้าส่งผักผลไม้ที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการลดของเสียและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน
ด้าน ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้พัฒนาเครื่องมือและแพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดปัญหาขยะอาหาร ประกอบด้วยการจัดทำแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยอาหารสำหรับการบริจาคอาหารโดยไบโอเทค การพัฒนาแพลตฟอร์มและระบบฐานข้อมูลเพื่อเชื่อมโยงผู้บริจาคอาหาร ผู้รับอาหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเนคเทค ตลอดจนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของอาหารส่วนเกินต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเอ็มเทค นอกจากนี้ ยังมีทีมวิจัยนโยบายที่ศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนกระบวนการบริจาคอาหารส่วนเกินและจัดตั้งเป็นธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. จะนำผลงานวิจัยเข้าไปสนับสนุนการขยายผลการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินในระดับท้องถิ่นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมผ่านกลไกของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ในการประสานงานและเชื่อมโยงหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมรวมถึงจะเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ในการจัดการอาหารส่วนเกิน ลดขยะอาหาร และส่งเสริมความร่วมมือในสังคมได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน
ดร.ปัทมาพร ประทุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) กล่าวว่า โครงการนี้ได้นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัยของอาหาร การเก็บรักษาและการขนส่ง การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) การแจกจ่ายอาหาร ตลอดจนการคำนวณข้อมูลการปล่อยคาร์บอน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มอัจฉริยะชื่อว่า Cloud Food Bank (CFB) ซึ่งทำหน้าที่จับคู่ความต้องการกับอาหารที่ได้รับบริจาคแบบอัตโนมัติ และสามารถตรวจสอบตำแหน่งของอาหารจากผู้บริจาคได้แบบเรียลไทม์ ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ โดยมีจังหวัดปทุมธานีเป็นพื้นที่นำร่อง และจะขยายผลไปยังอีก 7 จังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2568 ได้แก่ นครสวรรค์ ขอนแก่น ชลบุรี พังงา สุราษฎร์ธานี ลำพูน และลำปาง ทั้งนี้ ในระยะที่ 2 ของโครงการในปี 2569 จะมีการขยายเพิ่มเติมอีก 12 จังหวัด รวมเป็น 20 จังหวัดทั่วประเทศ โดยใช้จังหวัดต้นแบบในระยะที่ 1 เป็นพี่เลี้ยงในการขยายผลสู่พื้นที่ใหม่อย่างเป็นระบบและยั่งยืน
ทั้งนี้ คณะผู้บริหารและหน่วยงานที่ร่วมลงนามความร่วมมือ พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ยังได้ร่วมลงพื้นที่ ณ ชุมชนบ้านมั่นคง โครงการสหกรณ์เคหสถานปทุมธานีโมเดล จำกัด (ตรงข้าม ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) ซ.คลองหลวง 35 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เพื่อร่วมกันส่งต่ออาหารส่วนเกินให้แก่ชาวบ้านในชุมชนกว่า 200 คน ถือเป็นพื้นที่ปฐมบทแสดงเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นในการดำเนินโครงการ ฯ ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อให้การส่งต่ออาหาร และขยายผลด้วยกลไกชุมชนรักษ์อาหารภายใต้ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล ช่วยชุบชีวิตให้อาหารไม่กลายเป็นขยะอย่างสูญเปล่า และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ผู้มีรายได้น้อยในสังคมได้อย่างแท้จริง