ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โชว์ต้นแบบนวัตกรรม “N-sense” อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ในทุเรียนแบบพกพา ตอบโจทย์เกษตรกร และกลุ่มผู้ส่งออกทุเรียน ชูจุดเด่น ใช้งานง่าย-เร็ว ลดเวลารอผลการตรวจวัดแบบมาตรฐานจาก 48 ชั่วโมง เหลือเพียง 20 นาที ลดต้นทุน แต่แม่นยำสูง โดยสามารถตรวจจับสาร BY2 ในปริมาณที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่จีนกำหนดไว้ สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสาร BY2 ที่ปนเปื้อนอยู่ในทุเรียนไทย เพิ่มโอกาสของเกษตรกรรมไทยในเวทีโลกอย่างยั่งยืน
ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล รองผู้อำนวยการ (ด้านการวิจัย) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ทุเรียน นับเป็นพืชผลเศรษฐกิจของไทยที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดจีน ซึ่งสร้างมูลค่าการส่งออกให้กับไทยอย่างมาก ข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตรชี้ว่า ปี 2566 สถิติการส่งออกทุเรียนสดจากภาคตะวันออกของไทยไปยังประเทศจีนอยู่ที่ 6.5 แสนตัน มูลค่ามากกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท เมื่อต้นปี 2568 นี้ ประเทศไทยเจอปัญหาเรื่องสาร BY2 ที่เคลือบในทุเรียน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง ทำให้ไม่สามารถส่งออกไปยังจีนได้ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกทุเรียนสดจากภาคตะวันออกของไทยอย่างมาก นาโนเทคจึงได้พัฒนาต้นแบบนวัตกรรม “N-sense” อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ในทุเรียนแบบพกพา เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาของเกษตรกรในการคัดกรองทุเรียนก่อนส่งออกไปยังจีน โดยตัวอย่างที่ผ่านการคัดกรองด้วยวิธีนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสาร BY2 ที่ปนเปื้อนอยู่ในทุเรียนไทย เพิ่มโอกาสให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนไทย
“การต่อยอดใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของไทย นับเป็น 1 ในพันธกิจหลักของ สวทช. “ขุมพลังหลัก” ของประเทศในการใช้ประโยชน์จาก วทน. เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงานวิจัยของนาโนเทค ภายใต้ SF เกษตรและอาหาร ที่มุ่งเน้นการนำนาโนเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ การมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability), การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization), การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability) และการเข้าถึงอาหาร (Food Access) ซึ่งชุดตรวจ BY2 จะอยู่ในมิตินี้ ที่เป็นการเข้าถึงอาหารอย่างปลอดภัย โดยนาโนเทคมุ่งเน้นเรื่องแพลตฟอร์มตรวจการปนเปื้อน เพื่อความปลอดภัย และความมั่นคงทางด้านอาหาร และอาหารสัตว์ (Integrated Nano Sensor & Testing Platforms)” ดร.วิยงค์ กล่าว
ด้าน ดร.อรรณพ คล้ำชื่น ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูง ความปลอดภัยและสารสนเทศ นาโนเทค กล่าวว่า ต้นแบบนวัตกรรม “N-sense” อุปกรณ์วิเคราะห์สารตกค้าง BY2 (Basic Yellow 2) ในทุเรียนแบบพกพา เกิดจากการต่อยอดองค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยี เซ็นเซอร์และการตรวจวัดที่ทีมวิจัยมีศักยภาพอยู่แล้ว สู่เครื่องมือที่จะช่วยตรวจคัดกรองให้เกิดความรวดเร็วในการตรวจสอบ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาของเกษตรกร
โดย “N-sense” ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ ขั้วเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าที่จำเพาะกับสาร BY2 และเครื่องอ่านและประมวลผลแบบพกพา มีจุดเด่นเรื่องของการใช้งานสะดวก สามารถนำไปใช้ได้ทุกที่ เสมือนยกห้อง Lab มาไว้ในมือ ย่นระยะเวลาในการตรวจจากวิธีในการตรวจวัดแบบมาตรฐานที่ทางเกษตรกรหรือโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ใช้อยู่ ซึ่งต้องส่งตัวอย่างเพื่อตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ใช้เวลา 48 ชั่วโมง เหลือเพียง 20 นาทีเมื่อตรวจคัดกรองด้วย “N-sense” ค่าใช้จ่ายน้อยลงกว่า 10 เท่า แต่ความแม่นยำสูงถึง 85% สามารถรายงานค่าความเข้มข้นต่ำสุดได้ต่ำถึง 0.56 ppb อย่างแม่นยำ ซึ่งดีกว่ามาตรฐานการส่งออกของจีนที่กำหนดให้มีปริมาณสาร BY2 ไม่เกิน 2.0 ppb หรือ 2 ในพันล้านส่วน ซึ่งสามารถวัดได้ในปริมาณที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่จีนกำหนดไว้ สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสาร BY2 ที่ปนเปื้อนอยู่ในทุเรียนไทย
“นวัตกรรมนี้ไม่ได้ไปทดแทนวิธีการตรวจแบบมาตรฐานจากห้องปฏิบัติการกลาง แต่จะช่วยในการคัดกรอง เพื่อลดภาระให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนไทย ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายในการส่งตัวอย่างเข้าห้อง Lab ครั้งละ 4,000 -6,000 บาท และระยะเวลาที่รวดเร็ว สร้างความเชื่อมั่นให้ผลผลิตทางการเกษตรของไทย และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการส่งออกสู่ตลาดโลก ซึ่งนอกจากทุเรียนแล้ว ทีมวิจัยยังสามารถพัฒนาต่อยอดในการตรวจวัดสารปนเปื้อนชนิดอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการส่งออกได้อีกด้วย” ดร.อรรณพ กล่าว
ล่าสุด สวทช. โดย นาโนเทคยกทีมวิจัยลงพื้นที่ทดสอบภาคสนามพร้อมต้นแบบ “N-sense” ตรวจตัวอย่างทุเรียนจากเกษตรกรในพื้นที่วังจันทร์ จ.ระยอง ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีไอ (Eastern Economic Corridor of Innovation: (EECi) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผลผลิตทุเรียนในพื้นที่
สมาน พรหมมา ประธานกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียนวังจันทร์ จ.ระยอง กล่าวว่า ปัจจุบัน อ.วังจันทร์ มีเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียน 4 กลุ่มโดยกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ทุเรียนวังจันทร์เป็นการรวมตัวของเกษตรกรมากกว่า 30 รายในพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 300 ไร่ ที่มุ่งเน้นเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานการปลูกทุเรียนให้สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ทั้งนี้เชื่อมั่นว่า นวัตกรรมชุดตรวจสาร BY2 จากนาโนเทคกำลังเป็นที่ต้องการในกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายทุเรียนเพื่อการส่งออกในขณะนี้ เนื่องจากทำงานง่าย ราคาจับต้องได้และลดระยะเวลาในการตรวจ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับทุเรียนวังจันทร์ให้มีคุณภาพ และเชื่อถือได้
“ขณะนี้นาโนเทคมีเครื่องต้นแบบนวัตกรรม “N-sense” ประมาณ 40-50 เครื่อง สำหรับแนวทางในการขยายผล จะมีการทดสอบในระดับภาคสนาม โดยนาโนเทคมีโครงการร่วมกับสมาคมทุเรียนไทยและสมาคมผู้ผลิตทุเรียนไทย ในการทดสอบในพื้นที่จังหวัดระยอง จันทบุรี และชุมพร ขณะเดียวกันจะร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) และกรมวิชาการเกษตร เพื่อเทียบผลตรวจสอบการวัดและรับรองเครื่อง เนื่องจากเครื่องยังไม่ได้มาตรฐาน มอก. ก่อนที่จะขยายผลในเชิงพาณิชย์ต่อไป ” ดร.วิยงค์ กล่าวทิ้งท้าย