
มิชลิน ผู้นำระดับโลกด้านการผลิตวัสดุคอมโพสิตและการนำเสนอประสบการณ์การเดินทางเพื่อขับเคลื่อนชีวิตที่ดีกว่า จัดงาน Michelin Asia Pacific Media Day 2025 ภายใต้แนวคิด Michelin Beyond Performance โดยมีสื่อมวลชนจากหลากหลายประเทศ พันธมิตรทางธุรกิจ และผู้บริหารของมิชลินเข้าร่วมงาน เพื่อเจาะลึกแนวทางของบริษัทฯ ในการนิยามคำว่า “สมรรถนะ” ในมิติใหม่ ผ่านนวัตกรรม ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน และการพัฒนาที่เน้นผู้คนเป็นศูนย์กลาง ณ โรงงานมิชลิน หนองแค จังหวัดสระบุรี

มานูเอล ฟาเฟียง (Manuel Fafian) ประธานกลุ่มมิชลินประจําภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวเปิดงาน พร้อมเล่าถึงเส้นทางของมิชลินจากผู้บุกเบิกนวัตกรรมยางล้อตั้งแต่ปี 2434 สู่การเป็นผู้นำระดับโลกด้านการผลิตวัสดุคอมโพสิตและการนำเสนอประสบการณ์เพื่อขับเคลื่อนชีวิตที่ดีกว่า ภายใต้กรอบการทำงาน “ความยั่งยืนทุกด้าน (All Sustainable)” เพื่อสร้างสมดุล People (ผู้คน), Profit (ผลกำไร) และ Planet (ผืนโลก)
นับตั้งแต่มิชลินร่วมสร้างสถิติความเร็วทางบกด้วยยานยนต์ไฟฟ้าในปีพ.ศ. 2442 จนถึงการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียางล้อที่ยั่งยืนในปัจจุบัน มิชลินยังคงเดินหน้าผลักดันขีดจำกัดของนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยการบรรยายและเวิร์กช็อปภายในงานได้สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของมิชลิน สู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันวัสดุคอมโพสิตที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งการเดินทาง การดูแลสุขภาพ การบินและอวกาศ ไปจนถึงพลังงานคาร์บอนต่ำ
“ความมุ่งมั่นของเราไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องสมรรถนะ เราตระหนักว่าอนาคตที่ยั่งยืนไม่สามารถแยกจากการพัฒนาเทคโนโลยี เราพยายามหาวัสดุวิศวกรรม และพยายามพัฒนานวัตกรรมที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยความสามารถด้านวัสดุโพสิต และพลังงานคาร์บอนต่ำ เรากำลังสร้างอนาคตที่ทุกผลิตภัณฑ์ ทุกโซลูชัน ซึ่งอาศัยฐานข้อมูลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นตัวช่วยสำหรับธุรกิจเดินรถขนส่งระดับมืออาชีพ และทุกประสบการณ์ที่เราส่งมอบ เพื่อนำเสนอประสบการณ์เพื่อขับเคลื่อนชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งจะช่วยสร้างหนทางที่ดีกว่าสำหรับผู้คน (People) ผลกำไร (Profit) และผืนโลก (Planet) งานนี้คือเวทีที่แสดงให้เห็นว่าเรากำลังทำให้อนาคตนี้เป็นจริงได้” มานูเอล ฟาเฟียง กล่าว
ในส่วนของคน มิชลินมีนวัตกรรมให้คนเป็นศูนย์กลาง ตั้งแต่การฝึกอบรม มีพนักงานมากถึง 18% ที่ทำงานในโรงงานแล้วไต่ระดับขึ้นมา รวมทั้งให้โอกาสการทำงานแก่คนพิการ ในเอเชียแปซิฟิค มิชลินสร้าง Talent Campus ฝึกบุคลากรเป็น Platform อบรมแล้ว 525,000 คน ปีนี้อบรมมากกว่า 11,000 คน ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานถึง 2 เท่า ด้านสิ่งแวดล้อม มีแผนงานที่จะปล่อย Net Zero เป็นศูนย์ในปี 2050 ใน Scope และ 2 และพยายามทำให้อาคารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านซีริลล์ โรเฌต์ (Cyrille Roget) ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมและการสื่อสารเชิงวิทยาศาสตร์ของมิชลิน นำเสนอความก้าวหน้าล่าสุดของกลุ่มมิชลินในการออกแบบยางล้อที่ยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ การใช้วัสดุชีวภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพแรงต้านทานการหมุน (Rolling Assistant) สามารถลดแรงเสียดทานได้ 50% ซึ่งมีผลต่อสิ้นเปลืองน้ำมัน
กว่า 80% ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของยางล้อเกิดขึ้นระหว่างการใช้งาน ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการให้ความสำคัญกับการออกแบบอย่างรอบด้านและกระบวนการผลิตที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม มิชลินมีโครงการวิจัยลดฝุ่นในการผลิตตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา มีการทดสอบมากกว่า 1,000 ครั้งทั่วโลก พบว่ายางมิชลินก่อให้เกิดฝุ่นน้อยมาก ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“สโมสรยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ( Allgemeiner Deutscher Automobil-Club :ADAC) ที่เราเป็นสมาชิกได้ทำการทดสอบฝุ่นของยาง พบว่ายางมิชลินดีกว่าคู่แข่งรายอื่น 20% เรามีฝุ่น 10% ที่ออกมาจากการผลิตยาง” ซีริลล์ โรเฌต์ กล่าว
ปัจจุบันยางใช้วัสดุต่างๆ เป็นส่วนประกอบมากกว่า 200 ชนิด มิชลินพยายามใช้วัสดุต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยร่วมมือกับสตาร์ทอัป เช่น BIOBUTTERFLY เพื่อผลิตยางชีวภาพ ที่สามารถนำไปผลิต Carbon Black ใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพได้ ปัจจุบันมิชลินใช้วัสดุรีไซเคิล 31% ในปี 2573 เพิ่มขึ้นเป็น 40% และในปี 2593 จะเพิ่มการใช้วัสดุรีไซเคิลเป็น 100%

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของงานคือเวทีเสวนาโดยพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของมิชลิน ได้แก่ ดีเอชแอล (DHL),มนต์ทรานสปอร์ต (Mon Transport) และอินฟลูเอนเซอร์ SweetVarnVarn (หวานหวาน อรุณณภา พาณิชจรูญ) ที่มาร่วมเจาะลึกว่าความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมกำลังเร่งผลักดันความยั่งยืนในด้านโลจิสติกส์ การผลิต และการสัญจรได้อย่างไร ผ่านการริเริ่มโครงการร่วมกันเพื่อขยายผลการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน และวัดผลกระทบผ่านดัชนีชี้วัด (KPIs) และเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่มีร่วมกันในตลาดเกิดใหม่ การเสวนานี้ยังเน้นย้ำว่าค่านิยมที่ตรงกัน นวัตกรรม และวิสัยทัศน์ระยะยาว คือกุญแจสำคัญในการเอาชนะความท้าทายและสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม

ไฮไลต์ของการจัดงานครั้งนี้ คือ การเข้าชมเบื้องหลังการทำงานจริงใน 2 สายการผลิตหลักของมิชลิน ภายในโรงงานหนองแค ได้แก่ ยางล้ออากาศยาน และ ยางล้อรถบรรทุกและรถขนส่งผู้โดยสาร เปิดโอกาสให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนของมิชลินที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้จริงในสายการผลิต
ถิรพล เมืองเนาว์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการการผลิต มิชลินภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า ปัจจุบันมิชลินมีโรงงานรถบรรทุกและรถบัสในเอเชียทั้งหมด 9 แห่ง และมีศูนย์วิจัยและพัฒนา 9 แห่ง ในไทยมีโรงงาน 5 แห่ง ผลิตทั้งยางล้อรถยนต์ ยางล้ออากาศยาน และ ยางล้อรถบรรทุก และยางล้อรถขนส่งผู้โดยสาร สำหรับโรงงานหนองแค สระบุรีผลิตยางล้ออากาศยาน และ ยางล้อรถบรรทุก และยางล้อรถขนส่งผู้โดยสาร โดยใช้ระบบ QUALITY4.0 มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ มี Digital Workplace มีการนำรถ AGV อัตโนมัติมาใช้ในไลน์การผลิต

Vinh Nguyen กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด โรงงานหนองแค สระบุรี กล่าวว่า โรงงานหนองแคตั้งในปี 2545บนพื้นที่ 21 เฮกเตอร์ มีพนักงาน 1,805 คนจากทั้งหมด 6 เชื้อชาติ ยางล้ออากาศยาน และ ยางล้อรถบรรทุก และยางล้อรถขนส่งผู้โดยสาร โดยผลิตยางล้ออากาศยานมากกว่า 60 % ของกำลังการผลิตทั้งหมด ประมาณ 5 แสนชิ้นต่อปี ส่งออกไปเอเชีย 40 % อเมริกา 40 % และยุโรป 20% ทั้งนี้ ผู้ผลิตเครื่องบิน 1ใน 2 อันดับแรกใช้ยางล้ออากาศยานมิชลิน 100 %

ไลน์การผลิตยางล้อรถบรรทุก และยางล้อรถขนส่งผู้โดยสาร ตั้งในปี 2535 ในปีนี้เริ่มผลิตยางล้อรถบรรทุก และยางล้อรถขนส่งผู้โดยสารไฟฟ้าโดยเพิ่มเปอร์เซนต์ของซิลิก้ามากขึ้น ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน รองรับความต้องการของลูกค้า Retail และ OEM พร้อมตั้งเป้าผลิตยางล้อรถบรรทุก และยางล้อรถขนส่งผู้โดยสารให้ได้ 140 ขนาดใน 2 ปีข้างหน้า ส่วนไลน์การผลิตยางล้ออากาศยาน ตั้งในปี 2564 และมีแผนที่จะขยายการผลิตในปี 2570


ด้านสิ่งแวดล้อม โรงงานมิชลินหนองแคหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติก ลดการใช้ทรัพยากร 37%มีการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และนำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ในแต่ละวัน 30% และยางมิชลินสามารถนำไปหล่อดอกใหม่ได้เกือบ 100% และใช้พลังงานสะอาด เช่น ติดตั้งโซลาร์เซลล์มากกว่า 15%

มานูเอล ฟาเฟียง กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากรางวัลมิชลินไกด์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี มิชลินยังได้แนะนำรางวัลใหม่ Michelin Keys ด้าน Hospitality สำหรับโรงแรมที่ดีที่สุดและ ซึ่งจะเป็นแลนด์มา์กสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยว โดยมีโรงแรมได้รางวัล Michelin Keys 3 ดาว 143 แห่ง รางวัล Michelin Keys 2 ดาว 572 แห่ง และรางวัล Michelin Keys 1 ดาว 1,742 แห่ง