เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ ดัน “MEDICAL FAIR THAILAND 2025” สร้างเวทีสตาร์ทอัพ-Deep Tech สู่ตลาดโลก


ประเทศไทยกำลังเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นสู่การเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพของภูมิภาค โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ต่างเน้นย้ำถึงบทบาทของเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) และนวัตกรรมทางการแพทย์ว่าเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุข ขณะเดียวกัน เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ผู้จัดงานแสดงสินค้าด้านการแพทย์ระดับโลก ก็ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทองของไทยใน 3 กลุ่มธุรกิจศักยภาพ ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ การผลิตเครื่องมือแพทย์ และการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งคาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดภายในประเทศในอัตราเฉลี่ย 5.5–7.0% ต่อปี และการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่องถึง 6.5–7.5% ต่อปี

บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จึงผนึกความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน เตรียมจัดงาน “MEDICAL FAIR THAILAND 2025” เวทีแสดงสินค้านานาชาติที่รวมผู้ผลิต นักนวัตกรรม และผู้ให้บริการด้านสุขภาพจากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางแห่งภูมิภาคอาเซียน พร้อมส่งเสริมการเชื่อมโยงเครือข่ายระดับโลก และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในระบบนิเวศนวัตกรรมสุขภาพอย่างแท้จริง

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดเผยถึงบทบาทของประเทศไทยในเวที MEDICAL FAIR THAILAND 2025 ว่า ในปีนี้ NIA ได้ร่วมกับบริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย และพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชน คัดเลือกสตาร์ทอัพไทย 8 รายเข้าร่วมงาน เพื่อเปิดโอกาสในการนำเสนอนวัตกรรมสู่ตลาดเป้าหมายระดับสากล ขยายเครือข่ายพันธมิตรในภูมิภาค และต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่

ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการก้าวสู่การเป็น Medical Hub ของเอเชีย โดยไม่ใช่แค่ฐานด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และนวัตกรรมสุขภาพของภูมิภาค ด้วยพื้นฐานระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง และการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ภายในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอย่างมหิดล เชียงใหม่ และศิริราช ที่ต่างผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีศักยภาพออกสู่เชิงพาณิชย์

“เราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกด้าน แต่ควรโฟกัสที่จุดแข็งของประเทศ เช่น การรักษาโรคหัวใจ และการพัฒนา AI ทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ของประเทศที่สามารถต่อยอดได้หลากหลาย” ดร.กริชผกา กล่าว

ดร.กริชผกา กล่าวอีกว่า โครงสร้างของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการแพทย์ไทยในปัจจุบันนั้น แบ่งออกเป็นสตาร์ทอัพที่มีแนวคิดสร้างสรรค์กว่า 60–70% และ SME ที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตประมาณ 30% ซึ่งการผสานความร่วมมือระหว่างทั้งสองกลุ่มจะเป็นกุญแจสำคัญในการเร่งพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในตลาดผู้สูงวัยที่กำลังเติบโต หากสตาร์ทอัพไทยสามารถครองส่วนแบ่งตลาดเพียง 20% ได้สำเร็จ ก็ถือเป็นก้าวกระโดดสำคัญที่จะส่งแรงสั่นสะเทือนในระดับภูมิภาค

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงมีการพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์และเทคโนโลยีจากต่างประเทศในมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาทต่อปี สาเหตุสำคัญในอดีตคือการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ในอัตราต่ำ สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนไอเดียหรือบุคลากรที่มีความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย การสนับสนุนที่ยังไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างเต็มที่

ปัจจุบัน สวทช. มีฐานข้อมูลองค์ความรู้และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสาขาการแพทย์และสุขภาพกว่า 700 เรื่อง ครอบคลุมตั้งแต่งานวิจัยด้านวัสดุชีวภาพ (biomaterials), อุปกรณ์ฝังร่างกาย (implants), เทคโนโลยีการวินิจฉัยและตรวจโรค, ไปจนถึงเทคโนโลยีชีวภาพและเวชศาสตร์ฟื้นฟู งานวิจัยจำนวนมากพร้อมถ่ายทอดสู่ภาคเอกชนเพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ ตัวอย่างเช่น M-Bone ‘วัสดุทดแทนกระดูกสำหรับปลูกถ่ายในร่างกายมนุษย์’ ซึ่งเป็นวัสดุทดแทนกระดูกชนิดแรกของประเทศไทยที่ได้มาตรฐานสากล ช่วยลดการนำเข้าวัสดุปลูกกระดูกจากต่างประเทศได้มากกว่าร้อยล้านบาทต่อปี  นอกจากนี้ สวทช.ยังส่งเสริมให้ผลงานวิจัยถูกนำไปใช้ในภาคบริการสุขภาพ  ผ่านความร่วมมือกับโรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และผู้ประกอบการนวัตกรรมด้านเครื่องมือแพทย์ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ได้จริงในระดับประเทศ

ซี เลย์ อิง Deputy Portfolio Director จากบริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ผู้จัดงาน MEDICARE ASIA กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านนวัตกรรมการแพทย์ จากแรงสนับสนุนของภาครัฐ การเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ และการดูแลผู้สูงวัย โดยปัจจุบัน ตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยมีมูลค่ากว่า 433 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 และคาดว่าจะเติบโตถึง 1,349 ล้านดอลลาร์ในปี 2575 ด้วยอัตราเฉลี่ยปีละกว่า 15% สะท้อนความเชื่อมั่นในคุณภาพบริการและราคาที่แข่งขันได้

ในด้านการผลิตเครื่องมือแพทย์ ไทยมีศักยภาพสูงจากโครงสร้างอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง นโยบายรัฐที่เอื้อต่อการลงทุน และดีมานด์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเวชภัณฑ์สิ้นเปลือง อุปกรณ์วินิจฉัยโรค และเครื่องมือฟื้นฟูสมรรถภาพ คาดว่าตลาดในประเทศจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7% และการส่งออกโตถึง 7.5% ต่อปี ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นทั้งในไทยและภูมิภาค กำลังผลักดันความต้องการโซลูชันการดูแลสุขภาพอย่างก้าวกระโดด

แม้ว่าอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทยจะมีพื้นที่จัดแสดงที่ไม่ใหญ่มากในงาน MEDICARE ASIA เพียง 5-10% ของพื้นที่ทั้งหมด แต่ก็ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างฐานให้กับอุตสาหกรรมนี้ในไทย

สำหรับงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025 ที่จะจัดแสดงใปีหน้า จะมีผู้แสดงสินค้ากว่า 1,000 ราย จากกว่า 40 ประเทศ พร้อมเปิดตัวโซนจัดแสดงใหม่ อาทิ LaunchPad สำหรับสตาร์ทอัพ Community Care ด้านการดูแลผู้สูงอายุ และ Medical Manufacturing ที่ขยายพื้นที่ครอบคลุมการผลิตเครื่องมือแพทย์ขั้นสูง ระบบอัตโนมัติ และวัสดุนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและนวัตกรรมทางการแพทย์ระดับภูมิภาคอย่างเต็มรูปแบบ

นอกจากนี้ Medical Fair Thailand ยังได้รับการสนับสนุนจากหลากหลายหน่วยงานจากภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) โดยกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 กันยายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา