อว.เปิดตัว ‘Medical AI Data Platform’ สะสมข้อมูลทะลุ 2.4 ล้านภาพ ดันไทยสู่ศูนย์กลาง AI การแพทย์


กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เดินหน้าขับเคลื่อนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคสาธารณสุข โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นสักขีพยานในการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรทางการแพทย์ ประกอบด้วย  กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย Medical AI Consortium เปิดตัว “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)” อย่างเป็นทางการ ที่มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศข้อมูลที่เข้มแข็ง รองรับการพัฒนานวัตกรรม AI ทางการแพทย์เพื่อคนไทย

ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เปิดเผยว่า การจัดตั้ง Medical AI Consortium ผ่านทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) เพื่อพัฒนา Medical AI Data Platform ถือเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของประเทศ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงคลังข้อมูล แต่ยังประกอบด้วยเครื่องมือที่พัฒนาโดย สวทช. ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยและแพทย์สามารถพัฒนานวัตกรรม AI ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นภารกิจสำคัญในการสร้างรากฐาน AI การแพทย์ที่มั่นคงของประเทศ จึงขอเชิญชวนโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์ร่วมแบ่งปันข้อมูลและระบุโจทย์ที่สำคัญ และนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาร่วมพัฒนาโมเดล AI ที่ใช้ได้จริง เพื่อร่วมกันยกระดับสาธารณสุขไทยให้ก้าวทันโลก และใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวในเสวนา หัวข้อ ‘โอกาสและความท้าทายในการพัฒนานวัตกรรม AI ผ่านกลไก Medical AI Consortium’ ว่า มีความท้าทายมากมายที่โรงพยาบาลต้องจัดการ โดยเฉพาะเรื่องความพร้อมของการแบ่งปันข้อมูล (Data Sharing) เพื่อเชื่อมโยงกับภายนอก ซึ่งต้องอยู่ภายใต้มาตรฐาน PDPA อีกทั้งยังต้องพัฒนาระบบให้สามารถรองรับข้อมูลจำนวนมากได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดย สวทช. ทำหน้าที่เป็นน้ำมันหล่อลื่นในการขับเคลื่อนโครงการมากว่า 1 ปีครึ่ง ท่ามกลางความท้าทายมากมาย เป้าหมายคือการทำให้ข้อมูลที่โรงพยาบาลมีอยู่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง เช่น การสร้างเครื่องมือที่ทำให้การวิจัยสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลได้ง่ายขึ้น และอยู่บนแพลตฟอร์มที่ได้มาตรฐาน โดยปัจจุบันยังมีการพัฒนาแนวทางการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (IP) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์สามารถเข้าสู่กระบวนการรับรองจาก อย. ได้อย่างราบรื่น

ดร.ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลแพทย์ที่เป็นมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มักทำ AI เพื่อการวิจัยในเชิงวิชาการเท่านั้น และไม่ได้นำไปใช้จริงมากนัก จึงทำให้ทุกขั้นตอนมีความท้าทาย แต่จากความร่วมมือในช่วงเวลาเพียง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่ามีความคืบหน้าอย่างมาก โดยมี 6 หน่วยงานและโรงพยาบาล 5 กลุ่มร่วมแชร์ข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนภาพสะสมจากเดิม 1.6 ล้านภาพ เพิ่มเป็น 2.2 ล้านภาพ และล่าสุดรวมได้ 2.48 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคสำคัญ ได้แก่ โรคทรวงอก, มะเร็งเต้านม (ภาพแมม โมแกรม), โรคตา (ภาพจอประสาทตา), โรคในช่องท้อง (ภาพอัลตราซาวนด์), โรคผิวหนัง, โรคหลอดเลือดสมอง (ภาพ CT/MRI), และโรคกระดูกพรุน (ภาพ BMD/VFA)

แพลตฟอร์ม Medical AI Consortium ปัจจุบันมีสมาชิก 6 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมการแพทย์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ทั้งนี้ สวทช. และพันธมิตรเชื่อมั่นว่าความร่วมมือดังกล่าว รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลกลางด้านการแพทย์ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งสร้างนวัตกรรม AI ที่ใช้งานได้จริงอย่างแพร่หลาย จึงขอเชิญชวนหน่วยงานทางการแพทย์ สถาบันการศึกษา นักวิจัย และภาคเอกชน เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศนี้ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขของไทยให้ก้าวหน้า

“ปัจจุบัน AI กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และต้องอาศัย Data Sharing ภายในประเทศ เชื่อว่าโรงพยาบาลที่เข้าร่วมเครือข่ายจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดข้อมูล ตั้งเป้าใน 3 ปี ข้างหน้าต้องสะสมภาพให้ได้ถึง 3 ล้านภาพ และพัฒนา AI Trial อย่างน้อย 4 ตัว โดยอย่างน้อย 1 ตัวจะต้องสามารถเข้าสู่กระบวนการรับรองของ FEA และ อย. ได้ นอกจากนี้ยังผลักดันให้เกิด AI Public Service โดยเฉพาะในโรงพยาบาล 40 แห่งภายใต้กรมการแพทย์ เช่น ระบบ AI วิเคราะห์ภาพอัลตราซาวนด์ที่ทดลองใช้แล้วกว่า 1,000 เคส และ AI ตรวจเบาหวานขึ้นจอประสาทตาซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนา” ดร.ชัย กล่าว

นอกจากนี้ยังมีการขยายการใช้ AI Software ในอุปกรณ์ IoT เช่น กลุ่ม CCTV Medical AI ที่ได้ผ่านการรับรองจากเพอร์เซปต้าแล้ว และเตรียมขยายการรับรองให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงการใช้ไบโอเมตริกในลักษณะเดียวกันกับโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งการเปิดรับ IP Sharing และ Data Sharing ถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ทางการแพทย์ของไทยในอนาคต

ด้าน นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในทุกภาคส่วน รวมถึงในวงการแพทย์ โดย AI ได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูแลรักษาทางการแพทย์ ทั้งในด้านการวินิจฉัย การรักษา และการบริหารจัดการระบบสุขภาพ โดยในประเทศไทยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานกว่า 6 ล้านคน ราว 15–20% เสี่ยงภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา แต่มีจักษุแพทย์เฉพาะทางเพียง 250 คน จากข้อจำกัดดังกล่าว ได้มีการศึกษาทดลองการใช้ AI ใน 13 เขตสุขภาพจากบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมการตรวจคัดกรองโรคจอประสาทตา พบว่า การตรวจโดยบุคลากรทางการแพทย์มีความไว (sensitivity) อยู่ที่ร้อยละ 74 และมีความแม่นยำ (specificity) สูงถึงร้อยละ 98 ขณะที่การตรวจโดยใช้ AI ให้ผลความไวที่สูงกว่ามาก คือประมาณร้อยละ 97 และมีความแม่นยำอยู่ที่ร้อยละ 96 ทำให้เห็นว่าระดับความแม่นยำจะใกล้เคียงกัน แต่ AI มีความสามารถในการตรวจคัดกรองโรคได้รวดเร็วและมีความไวสูงกว่า

“การนำ AI มาใช้ในการคัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาสามารถช่วยลดระยะเวลาการรอคอยในการเข้ารับการตรวจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของประชาชน และทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสูญเสียการมองเห็นและความพิการในผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายแพทย์ธนินทร์ กล่าว

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ตัวอย่าง AI ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับ บริษัทสตาร์ตอัป เริ่มพัฒนาการใช้ AI เพื่อการอ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก (Chest  X-ray) ทางการแพทย์และสร้างรายงานทางการแพทย์เพื่อใช้ในการวินิจฉัยความผิดปกติของภาพเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อขยายผลการให้บริการผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศิริราช  ปิยมหาราชการุณย์ และศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก รวมทั้งโรงพยาบาลอื่น ๆ ในราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อโปรแกรม AI มาจากต่างประเทศ ช่วยลดงบประมาณค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลในประเทศไทย โดยล่าสุดเทคโนโลยีเพื่อการอ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก (Chest  X-ray)  ได้ผ่านมาตรฐานกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขแล้ว และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กำลังพัฒนาไปยังโรคอื่น ๆ ซึ่งในอนาคตมีแผนจะดำเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้าง AI สำหรับใช้ในโรงพยาบาลนำไปสู่การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป

อย่างไรก็ตาม Medical AI Consortium เป็นเครือข่ายสำคัญที่จะเป็นโอกาสให้ประเทศไทยดึง DATA มาร่วมแบ่งเป็นข้อมูลในการทำงานด้านการแพทย์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นประโยชน์เพื่อให้ AI เรียนรู้ข้อมูลได้ฉลาดและแม่นยำมากขึ้น


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save