เด็กไทยส่อป่วยด้วยโรคประจำตัวจากความดันโลหิตสูงถึง 10% โดยเฉพาะกลุ่มวัยเรียนที่นิยมกินขนมกรุบกรอบรสเค็มและติดนิสัยเติมเครื่องปรุงเค็มในอาหารประจำวัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่นำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไต และโรคหัวใจและหลอดเลือด ด้วยเหตุนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและเครือข่ายลดเค็ม เดินหน้าสร้างสังคมแห่งความรอบรู้ด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “ลดเค็ม ลดโรค” เพื่อสื่อสารสุขภาวะและกระตุ้นให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมติดเค็ม ลดความเสี่ยงจากโรคร้ายในระยะยาว
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ประธานในในงาน ลดโซเดียม ลดเสี่ยง NCDs กล่าวถึงสถานการณ์การบริโภคอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร และความรอบรู้ด้านอาหารของประชากรไทย ปี 2567ว่า สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. พบเด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี กินขนมกรุบกรอบรสเค็มมากที่สุด 84.1% กินเฉลี่ย 1.35 ซองต่อวัน รองลงมาเป็นกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 1-5 ปี 76.5% กินเฉลี่ย 1.23 ซองต่อวัน ที่สำคัญยังพบคนไทยเติมเครื่องปรุงรสเค็มเพิ่มในอาหารประมาณ 30% เฉลี่ย 0.86 ช้อนชาต่อวัน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กมีการเติมเครื่องปรุงรสเค็มปริมาณมากที่สุด เฉลี่ย 0.89 ช้อนชาต่อวัน ที่ผ่านมา สสส. ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายลดการบริโภคเค็ม รณรงค์ขับเคลื่อนสังคมด้วยองค์ความรู้ นวัตกรรม และนโยบายสาธารณะ เพื่อสร้างความรอบรู้ด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ โดยเฉพาะลดการบริโภคเค็ม ผ่านแคมเปญ “ลดเค็ม ลดโรค” ผลประเมินพบว่า ประชาชนเกิดความตระหนักถึงผลกระทบจากการบริโภคเค็ม 92% และกระตุ้นการปรับพฤติกรรมลดการบริโภคเค็ม 85.1%
“ที่ผ่านมา สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย พัฒนานวัตกรรมเครื่องตรวจวัดความเค็มในอาหาร (Salt Meter) เตรียมขยายผลนำไปใช้ปรับพฤติกรรมลดเค็มทั่วประเทศ พร้อมส่งเสริมการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นรณรงค์ลดการบริโภคน้ำตาล และไขมันทรานส์ พร้อมสนับสนุนการบริโภคผัก ผลไม้ และอาหารปลอดภัย กำหนดมาตรฐานอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ รวมถึงสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการเพื่อสุขภาพ โดยมีชุมชนเป็นฐาน เพื่อลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในอนาคต ทั้งนี้ การผลักดันภาษีโซเดียมกำลังอยู่ในขั้นตอน เพื่อชักจูงให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารปรับตัวออกสูตรลดโซเดียม” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว
นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า การลดโรค NCDs เป็นภาระงานและความท้าทายสำคัญของระบบสาธารณสุข มีคนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs กว่า 400,000 คนต่อปี สูญเสียต้นทุนทางเศรษฐกิจกว่า 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี ในปี 2568 มีสโลแกน “กรมควบคุมโรคห่วงใย อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี” มุ่งสนับสนุนกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) นำนวัตกรรม Salt Meter ขยายผลสร้างความตระหนักและควบคุมปริมาณโซเดียมในการปรุงอาหารของครัวเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ทำงานทั่วประเทศ เป็นแนวทางการดำเนินงานเฝ้าระวังและลดการบริโภคเกลือและโซเดียมระดับจังหวัด รวมถึงกำหนดปริมาณเกลือและโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ผลักดันมาตรการภาษีโซเดียม มุ่งเป้าให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพดี ห่างไกลโรค NCDs ด้วยการลดการกินเค็ม ลดเกลือและโซเดียมเกินกำหนด สอดรับ 1 ใน 9 เป้าหมายลด NCDs ระดับโลก (9 Global Targets for Noncommunicable Diseases for 2025)
“ข้อมูลการบริโภคเกลือแกงในไทย พบคนไทยได้รับโซเดียมจากการกินอาหาร 4,351.69 มิลลิกรัมต่อคนต่อวัน สูงกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา ที่สำคัญยังพบว่า คนไทยป่วยด้วยโรคที่สัมพันธ์กับการบริโภคโซเดียม เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไต หัวใจและหลอดเลือดสมองกว่า 22 ล้านคน ซึ่งคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ภายในปี 2568 ไทยควรจะต้องทำให้ประชาชนลดการบริโภคเกลือและโซเดียมลง 30% โดยจะต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ลดเกลือและโซเดียม สร้างความรู้สร้างความตระหนักแก่ผู้บริโภค การปรับสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และผลักดันให้เป็นรูปธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายประชาชนมีสุขภาพดี” นพ.กฤษฎา กล่าว
ด้าน รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า ผู้บริโภคที่กินเค็มอยู่เป็นเวลานาน ๆ และผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ขาดความตระหนักถึงอันตรายของการบริโภคเค็ม ทั้งยังมีความเคยชินเนื่องมาจากการรับรสเค็มของลิ้นที่น้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กอายุ 10-19 ปี ที่พบภาวะความดันโลหิตสูง 10% ซึ่งจะสูงต่อเนื่องเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการบริโภคอาหารและขนมโซเดียมสูง นวัตกรรม Salt Meter จึงเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยปรับการรับรสให้แต่ละคนสามารถปรับลิ้นให้คุ้นเคยกับรสชาติที่เปลี่ยนไปได้ เพื่อลดอัตราผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในชุมชนได้อย่างยั่งยืน และเพิ่มความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ สู่ความชอบการบริโภคอาหารเค็มน้อย
ดร.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและโภชนาการ กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจการค้าขายในปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันมาใช้เครื่องปรุงสำเร็จรูปกันมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภครับประทานอาหารที่มีรสชาติเค็มมากขึ้นตามไปด้วย จึงอยากแนะนำให้ผู้ประกอบการตระหนักอยู่เสมอว่าการปรุงอาหารที่มีรสชาติเค็มและมีโซเดียมมากเกินไปนั้นถือเป็นอันตรายสำหรับลูกค้า ดังนั้นควรเปลี่ยนมาใช้สูตรอาหารที่มีโซเดียมต่ำ ด้วยการเคี่ยวน้ำซุปจากผักโดยไม่ต้องพึ่งซุปสำเร็จรูป ในขณะที่ผู้บริโภคเองก็ควรตระหนักรู้เช่นเดียวกัน