ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากผลประกอบการไตรมาส 2 ประจำปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มียอดขายรวม 1,688.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% และ มีกำไรสุทธิ 94.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรวมแล้ว สามารถทำรายได้เติบโตในทุกพอร์ตฟอลิโอ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) มียอดขาย 1,022.6 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60.6% ถือเป็นยอดขายอันดับ 1 ในตลาด ดังกล่าว ส่วนตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับประกอบอาหารและ
เบเกอรี่และอื่นๆ รวมทั้งตลาดผลิตภัณฑ์บิสกิต สามารถทำยอดขายสูงสุดติด 5 อันดับแรก ได้ทั้งสิ้น ซึ่งแม้ว่าไตรมาส 2 ของปีนี้จะเป็นช่วงโลว์ซีซัน ประกอบกับความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก และการค้าโลกที่อาจจะชะลอตัว แต่ KCG สามารถทำรายได้เติบโตสวนกระแส
“เหตุผลสำคัญทำให้ผลประกอบการเติบโตสวนกระแส เป็นผลมาจากการดำเนินธุรกิจตามยุทธศาสตร์การพัฒนาใน 7 มิติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น ทั้งจากการปรับปรุงเครื่องจักร และ การใช้อัตรากำลังผลิตที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การปรับปรุงหน่วยสินค้า (SKU Rationalization) ที่สำคัญคือ พัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2567 ออกมาอย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะ กำไรที่เติบโตสูงมากถึง 86.3% ซึ่งในไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการเปิดใช้ KCG Logistics Park อย่างเป็นทางการ เพิ่มเติมจากอีก 3 สาขา คือ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสุราษฏร์ธานี ซึ่งจะทำให้ครอบคลุมการให้บริการทั้ง 76 จังหวัด จนสามารถส่งมอบสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้รวยเร็วภายใน 1 วัน และเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ตามเป้าหมาย” ดำรงชัย กล่าว
KCG เล็งเห็น 3 เทรนด์ที่ส่งผลกระทบต่อการบริหารห่วงโซ่อุปทานยุคใหม่ ซึ่ง KCG ได้นำเทรนด์ดังกล่าว มาต่อยอดในการสร้างกลยุทธ์การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการสร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park แห่งนี้ โดย 3 เทรนด์ดังกล่าวประกอบด้วย
1. ผู้บริโภคมีความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย (360 Degrees Product Trend) มีความพิถีพิถันในการพิจารณาผลิตภัณฑ์ ที่แตกต่างกัน โดยบริษัทฯ จะต้องมั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์จะถูกเก็บรักษา และส่งมอบด้วยมาตรฐานคุณภาพที่ดีที่สุด
2. การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) บริษัทฯ ต้องให้ความสำคัญกับแนวคิดการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน ใน 3 ปัจจัยหลักได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance, ESG) ในทุกกระบวนการของ ห่วงโซ่อุปทาน
3. การนำเทคโนโลยีมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค (Digitalization & Automation) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเติบโต ของอุตสาหกรรมอาหาร เกิดความแม่นยำ รวดเร็วในการบริหารระบบความท้าทาย ทั้งนี้องค์กรยังคงมองหา และพิจารณาการลงทุน ในเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเกิดความได้เปรียบทางการแข่งขันและลดต้นทุนในระยะยาวของธุรกิจ
KCG เชื่อว่าการบริหารห่วงโซ่อุปทานและคลังสินค้า หรือ Supply Chain & Inventory Management เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจ โดยถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของบริษัทฯ (7 Business Pillars) ห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยมก่อนไปถึงมือผู้บริโภคและสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าเป็นข้อต่อสำคัญระหว่างการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพของ KCG กับการจัดส่งสินค้าที่ KCG มีทั้งหมดกว่า 50 แบรนด์ ให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็วปลอดภัยและรักษาคุณภาพของสินค้าไว้อย่างดี เราจึงทุ่มงบลงทุน 350 ล้านบาท ในการพัฒนา ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแห่งใหม่ที่ได้มาตรฐานระดับสากลเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ พร้อมทั้งตอบโจทย์เรื่องการสร้างความยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “From Great to Growth”
สำหรับกลยุทธ์ From Great to Growth เป็นการนำเทรนด์ของการบริหารห่วงโซ่อุปทานมาผนวกกับความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ 66 ปีที่เรามี KCG มีความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคที่เป็นต้นน้ำอยู่แล้ว ดังนั้น การเก็บรักษาและส่งสินค้าไปให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วปลอดภัยที่เป็นปลายน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้ KCG สามารถรักษาคุณภาพได้ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำได้อย่างครบวงจร โดยใช้ KCG Logistics Park เป็นศูนย์กระจายสินค้า และ คลังสินค้าแห่งความยั่งยืนและนวัตกรรม เพื่อสร้างคุณค่าและการเติบโตให้องค์กร” ดำรงชัย กล่าว
กลยุทธ์ “From Great to Growth” ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ย่อย ได้แก่
1. สร้างการเติบโตจากความเป็นเลิศด้านคุณภาพ (Quality Excellence for Growth)
การบริหารจัดการสต็อกตามประเภทวัตถุดิบที่หลากหลาย (Diverse Stock Management) KCG เชื่อว่าสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญ ของการจัดการโลจิสติกส์เป้าหมายเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยปัจจุบัน KCG Logistics Park รองรับการจัดเก็บได้มากถึง 14,000 พาเลท โดยมีวิธีการแบ่งตามประเภทสินค้า จำนวน 3 ประเภท ได้แก่ 1. Dairy Products 2. Food and bakery ingredients (FBI) 3. Biscuit หรือ แบ่งตามอุณหภูมิออกเป็น 4 ประเภท
การจัดเก็บโดยควบคุมอุณหภูมิ (Temperature-Controlled Storage) KCG เป็นผู้นำอันดับ 1 ในด้านการจัดเก็บ และการขนส่ง แบบควบคุมอุณหภูมิได้อย่างเต็มรูปแบบ (Cold Chain Logistics) โดยเล็งเห็นความสำคัญของการปรับตัว และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดด้วยการจัดทำห่วงโซ่อุปทานสำหรับสินค้าที่ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ เพื่อให้สินค้ามีความสดใหม่ และลดการสูญเสียจากสินค้าที่เสียหายได้ โดยเลือกควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมกับสินค้าและวัตถุดิบที่หลากหลายและต้องดูแลรักษา จัดเก็บในอุณหภูมิที่ต่างกัน ตั้งแต่การขนวัตถุดิบเข้ามายังคลังจัดเก็บ ออกแบบวิธีการเคลื่อนย้ายและการเก็บรักษา ตลอดจนการขนส่งออกไปหาลูกค้า ด้วยการสั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานมากกว่า 66 ปี มีจำนวนมากกว่า 50 แบรนด์ และมากถึง 1,800 SKU ที่ต้องใช้ความชำนาญและความพิถีพิถันในการควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภทได้แก่ 1. Ambient 2.Air Con (18°C to 22°C) 3.Chilled (0°C to 8°C) และ 4. Frozen (-18°C) (-25°C)
2. สร้างการเติบโตจากเทคโนโลยี (Tech for Growth)
ระบบอัตโนมัติ (Automation) KCG Logistics park ใช้ระบบบริหารคลังแบบอัตโนมัติโดยใช้ระบบการจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management System) ระบบบริหารจัดการการขนส่ง (Transportation Management System) ควบคู่กับระบบคลังสินค้าพร้อมจัดส่ง (Fulfillment System) ที่จะเข้ามาช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความถูกต้องแม่นยำ ความรวดเร็วในการค้นหาสินค้า ลดการสูญหายของสินค้า อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบ สถานะของสินค้าได้ รวมถึงลดความผิดพลาดในการทำงาน ผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ความรวดเร็วต่อตลาด (Speed to Market) การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ตามความต้องการของตลาดเป็นการตอบสนอง ความรวดเร็วต่อตลาดในขั้นแรกที่มีความสำคัญอย่างมากในธุรกิจ ครอบคลุมทั้งในกลุ่ม B2B และB2C ถัดมา การกระจาย สินค้าที่มีประสิทธิภาพ (Distribution Efficiency) ช่วยให้ส่งสินค้าไปยังลูกค้าในเวลาที่รวดเร็วมากขึ้น เพิ่มความพึงพอใจ และความน่าเชื่อถือของลูกค้า โดยจะคำนวณระยะเวลาจัดส่งตามรัศมีของพื้นที่ลูกค้า เช่น สามารถขนส่งได้ภายใน 24 ชั่วโมง ในระยะรัศมี 100 กิโลเมตร จากจุดกระจายสินค้า และรองรับความพร้อมของความต้องการตลาด ด้วยจำนวนรถขนส่งที่มากกว่า 150 คัน โดยตั้งเป้าเป็นรถ EV 30% ของจำนวนรถทั้งหมดภายใน 3 ปี
การใช้เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของพนักงาน (Employee Safety) การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การบริหารสินค้าคงคลัง นอกจากจะเพิ่มความถูกต้องแม่นยำ และรวดเร็วแล้ว KCG ให้ความสำคัญและยึดมั่นการว่าจ้างที่สอดคล้องกับ สำนักงานมาตรฐานแรงงานไทย โดยมีสวัสดิการและคุ้มครองพนักงาน เพื่อให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับ ความคุ้มครองตามมาตรฐานสากล เช่น จากเดิมที่มีการแบกกระสอบน้ำตาลขึ้นไหล่ เพื่อขนถ่ายระหว่างรถขนส่งกับโกดัง ปัจจุบันได้ปรับเป็นเพียงการยกลงพาเลท และใช้โฟล์คลิฟท์ในการเคลื่อนย้าย ซึ่งช่วยให้พนักงานได้รับความปลอดภัย ในการทำงานจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัย การใส่ชุดที่มีความปลอดภัย และ การควบคุม ระยะเวลาทำงานของพนักงานในพื้นที่ที่มีการควบคุมอุณหภูมิของคลังสินค้า ตลอดจนระบบจัดเก็บคลังสินค้า กึ่งอัตโนมัติหรือ ชั้นวางระบบกระสวย (Rack shuttle system) ซึ่งช่วยให้พนักงานไม่ต้องจัดเก็บสินค้าในที่สูงด้วยตัวเอง
3. สร้างการเติบโตจากการรักษาสิ่งแวดล้อม (Green for Growth)
การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency) ที่ KCG มั่นใจเชื่อว่าการจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ สามารถลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ซึ่งเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนในระยะยาว โดยปัจจุบันได้มีการใช้รถบรรทุกไฟฟ้า รถโฟล์คลิฟท์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเทียม และอยู่ระหว่างการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ บนหลังคา ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ภายใน KCG Logistics Park และโรงงานบางพลี รวมถึงศูนย์กระจายสินค้า ของบริษัททั้ง 3 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณปีละ 1,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าได้กับการปลูกต้นไม้กว่า 120,000 ต้น และจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าประมาณปีละ10 ล้านบาท
การลดของเสีย(Waste Reduction) ในกระบวนการโลจิสติกส์การลดของเสีย หรือ การลดขยะ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการใช้ทรัพยากรและลดค่าใช้จ่ายในการจัดการของเสียทั้งจากกระบวนการจัดเก็บ การดูแลรักษา การควบคุมอุณหภูมิ โดยเฉพาะอาหารตะวันตกที่มีส่วนผสมหลักมาจาก นม เนย ชีส ที่ต้องใช้ความพิถีพิถันในการเก็บรักษาสูง ตลอดจนการขนส่งที่เพิ่มการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบ Backhual Matching ปรับเส้นทางเดินรถ เพื่อไม่ให้ตีรถเปล่ากลับเข้าศูนย์ฯ เพื่อลดต้นทุน ลดการใช้เชื้อเพลิง และลดการปล่อยมลพิษ รวมถึงการหลอมพาเลท ที่ไม่ใช้แล้วเพื่อรีไซเคิลและลดการสร้างขยะ
กลยุทธ์ From Great to Growth ที่ใช้ในการบริหารห่วงโซ่อุปทานและคลังสินค้า ผ่าน KCG Logistics Park จะมีส่วนสำคัญ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจแบบก้าวกระโดดสู่รายได้ 10,000 ล้านบาท ใน 3 – 5 ปีข้างหน้า และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย ในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างยั่งยืน รวมถึงช่วยลดค่าเช่าคลังสินค้าภายนอกได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ในมุมของธุรกิจ KCG Logistics Park ยังมีความมุ่งมั่นในการเป็นตัวกลางในการขนส่งสินค้า KCG แก่ผู้ประกอบการรายย่อย และช่วยตอบสนองโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ของผู้บริโภคในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้ ได้นำพาสื่อมวลชน เปิดให้เข้าชมศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า “KCG Logistics Park” การบริหารจัดการสต็อกตามประเภทวัตถุดิบที่หลากหลาย โดยปัจจุบัน KCG Logistics Park รองรับการจัดเก็บได้มากถึง 14,000 พาเลท การจัดเก็บโดยควบคุมอุณหภูมิในด้านการจัดเก็บ และการขนส่ง แบบควบคุมอุณหภูมิได้อย่างเต็มรูปแบบ (Cold Chain Logistics) เพื่อให้สินค้ามีความสดใหม่ และลดการสูญเสียจากสินค้าที่เสียหาย โดยเลือกควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมกับสินค้าและวัตถุดิบที่หลากหลายและต้องดูแลรักษา จัดเก็บในอุณหภูมิที่ต่างกัน ตั้งแต่การขนวัตถุดิบเข้ามายังคลังจัดเก็บ ออกแบบวิธีการเคลื่อนย้ายและการเก็บรักษา ตลอดจนการขนส่งออกไปหาลูกค้า