ส.อ.ท. สรุปยอดผลิตรถยนต์ปี 2567 ลดลง 19.95% คาดปี 2568 ฟื้นตัวแตะ 1.5 ล้านคัน


กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ รายงานยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ เดือนธันวาคม 2567 พบว่าการผลิตรถยนต์ในช่วงปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค.) มียอดผลิตรถยนต์ 1.46 ล้านคัน ลดลง 19.95% หากเทียบกับช่วงปีเดียวกันกับปี 2566

สุรพงศ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนธันวาคมปี 2567 ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเหลือ 104,878 คัน ลดลง 17.37% จากการผลิตภายในประเทศ 28.50% ตามยอดขายในประเทศที่ลดลงและผลิตส่งออกลดลง 9.47% โดยรวมพบว่ามีจำนวนรถยนต์ที่ผลิตตลอดทั้งปี 2567 รวม 1,468,997 คัน ลดลงจากปี 2566 19.95%

ทั้งนี้ การผลิตเพื่อส่งออก ในเดือนธันวาคม 2567 ผลิต 67,203 คัน เท่ากับ 64.08% ของการผลิตทั้งหมด ลดลง 9.47% ในช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยยอดรวมทั้งปีมีการผลิตส่งออกที่ 1,009,141 คัน ลดลง 12.07% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนธันวาคม ปี 2567 ผลิตได้ 37,675 คัน เท่ากับ 35.92% ของการผลิตทั้งหมด ลดลง 28.50% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดรวมการผลิตทั้งหมดลดลงจากปี 2566 ถึง 33.09%

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกในปี 2568 จะถึง 1,500,000 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอีก 5 แสนคัน มากกว่าปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 1,468,997 คัน เพิ่มขึ้น 2.11% ซึ่งหากภาครัฐสนับสนุนกลุ่มให้สินเชื่อการเงินมากขึ้นจะทำให้การผลิตรถยนต์ในปีนี้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ ปัจจัยเชิงบวกที่ทำให้การผลิตส่งออกเพิ่มขึ้น จะมาจากปัจจัยระยะสั้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ไม่สูงมากนัก อาจจะไม่กระทบมูลค่าการค้าโลกมาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอาจลดลงและราคาน้ำมันอาจลดลงทำให้อำนาจซื้อของประเทศคู่ค้าสูงขึ้นส่งผลให้การส่งออกดีขึ้น แต่ต้องติดตามว่าลดลงมากน้อยแค่ไหน และต้องติดตามสงครามในภูมิภาคต่างๆ ว่ายุติได้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจใช้เงินของประชาชนในประเทศต่างๆ

สำหรับปัจจัยเชิงลบ อาจเกิดจากความชัดเจนในมาตรการด้านการค้าและอื่นๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะขึ้นภาษีอากรนำเข้ามากน้อยแค่ไหน รวมถึงคู่แข่งในประเทศคู่ค้ามีมากขึ้น และประเทศคู่ค้ามีการผลิตรถกระบะซึ่งอาจลดคำสั่งซื้อและอาจส่งออกแทนประเทศไทยจากการผลิตรถกระบะที่ลดลง รวมถึงความขัดแย้งและการสู้รบในภูมิภาคต่างๆ อาจขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งภูมิภาคเดิมและภูมิภาคใหม่ และมาตรการเข้มงวดการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ประเทศคู่ค้าที่ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไม่ได้

ขณะที่ปัจจัยเชิงบวกที่อาจทำให้การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น เกิดจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าโครงการ EV 3.0 ในอัตรา 1.5 เท่า เศรษฐกิจในประเทศขยายตัว 2.4-2.9% จากการแจกเงินของรัฐบาลให้กลุ่มต่างๆ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ E-Receipt ก็สำคัญ รวมถึงการลงทุนของภาครัฐ การลดดอกเบี้ยในประเทศ และราคาน้ำมันที่ลดลงจากการเรียกร้องประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายและต้นทุนของการดำเนินงานลดลง อำนาจซื้อของประชาชนจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ในปี 2567 มีผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุนในประเทศสูงถึง 1.12 ล้านล้านบาท นับเป็นยอดที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากปี 2566 โดยยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ 102,366 ล้านบาท

นอกจากนี้ ปัจจัยเชิงลบอาจเกิดจากความเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพราะมาตราการการปล่อยสินเชื่อแบบรับผิดชอบจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงต้องติดตามดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมว่าจะยังลดลงหรือไม่ เนื่องจากมีสัดส่วนถึง 30% ของเศรษฐกิจในประเทศและมีแรงงานถึง 16% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอำนาจซื้อในประเทศ นอกจากนี้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนอาจจะไม่รุนแรงซึ่งจะทำให้การย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนมายังประเทศไทยชะลอตัวลงได้ เพราะประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศไทย

สุรพงศ์ กล่าวอีกว่า ในเดือนมกราคม 2567 ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 354.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 คิดเป็นจำนวน 13,314 คัน อย่างไรก็ตาม หากยอดจดทะเบียนไม่ถึง 150,000 คัน จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ขณะที่ข้อมูลตลอดทั้งปี (มกราคม – ธันวาคม) พบว่ายอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าลดลง 10.86% แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลสะสมของปี 2567 เทียบกับปี 2566 พบว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) เพิ่มขึ้น 75.68%, รถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (HEV) เพิ่มขึ้น 37.61%, รถยนต์ไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) เพิ่มขึ้น 17.07%, และรถกระบะ-รถแวนแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น 211.47%

ขณะที่มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลส่งผลให้การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ยอดสะสมของรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV อยู่ที่ 227,470 คัน คิดเป็น 72.52% ขณะที่ยอดสะสมของรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (HEV) อยู่ที่ 469,543 คัน คิดเป็น 36.65%


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save