จากเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. พังถล่ม เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา สร้างความเสียหายในการประกอบวิชาชีพทางวิศวกรรมและทางสถาปัตยกรรม สังคมจึงขาดความเชื่อมั่นในวงการสถาปนิกผู้ออกแบบ วิศวกรผู้ออกแบบ วิศวกรคุมงาน สถาปนิกคุมงาน และผู้รับเหมา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) จึงจัดงานเสวนาในหัวข้อ “การประกอบอาชีพของวิศวกรและสถาปนิก ยังเชื่อถือได้หรือไม่” เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะชนถึงมาตรฐานการทำงานของวิศวกรและสถาปนิก และผู้รับเหมา ในการประกอบอาชีพวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมควบคุม
ทรงพจน์ สายสืบ เลขาธิการสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า หน้าที่หลักของสมาคมฯ คือการเผยแพร่ความรู้แก่สังคม ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานวิชาชีพ โดยสถาปนิกทุกคนต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและยึดถือจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด การออกแบบอาคารทุกโครงการต้องศึกษารายละเอียดอย่างถี่ถ้วนก่อนเริ่มงาน เพื่อให้อาคารสามารถใช้งานได้จริงและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น ระบบป้องกันแผ่นดินไหว ระบบการระบายอากาศ และข้อกำหนดอื่น ๆ ตามกฎหมายควบคุมอาคาร
“จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา สมาคมสถาปนิกสยามฯ สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาไทย และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของมาตรฐานและจรรยาบรรณมากยิ่งขึ้น จึงขอร่วมแถลงยืนยันต่อสาธารณชนว่า การออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างในประเทศไทยดำเนินตามหลักวิชาการอย่างเข้มงวด มีการตรวจสอบตามมาตรฐานระดับสากล และสอดคล้องกับกฎหมายควบคุมอาคารอย่างครบถ้วน โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของงานออกแบบและก่อสร้าง” ทรงพจน์ กล่าว
นพดล ใจซื่อ อุปนายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย (วปท.) กล่าวถึงบทบาทของผู้ควบคุมงานว่า ในประเทศไทย ผู้ควบคุมงานส่วนใหญ่มักเป็นสมาชิกของ วปท. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภาคสนามของไซต์งานก่อสร้าง โดยเฉพาะในการควบคุมให้ผู้รับเหมาและแรงงานปฏิบัติตามแบบก่อสร้างที่ได้รับอนุมัติ บทบาทของผู้ควบคุมงานไม่ได้มีหน้าที่แค่เฝ้าดูงานเท่านั้น แต่ยังต้องตรวจสอบความถูกต้องของวัสดุ เช่น เหล็กที่ใช้ต้องผ่านการทดสอบและตรงตามมาตรฐานที่วสท.กำหนด รวมถึงต้องควบคุมวัสดุให้ตรงกับยี่ห้อที่ได้รับการอนุมัติแล้ว อีกทั้งยังต้องดูแลความปลอดภัยในไซต์งาน โดยให้ผู้รับเหมาเสนอแผนความปลอดภัย และติดตามให้ดำเนินงานตามแผนอย่างเคร่งครัด หากงานใดไม่เป็นไปตามแบบ ต้องมีการสั่งแก้ไขโดยได้รับการอนุมัติจากผู้ออกแบบก่อน ผู้ควบคุมงานจึงเป็นผู้กำกับดูแลคุณภาพ ความปลอดภัย และความถูกต้องของงานก่อสร้างในทุกขั้นตอน
ด้านศรันย์ โรจน์เลิศจรรยา นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงบทบาทของผู้รับเหมาและผู้รับเหมาช่วงว่า ผู้รับเหมาถือเป็น “มือปฏิบัติ” ที่ทำให้โครงการก่อสร้างเป็นรูปธรรม โดยผู้รับเหมาหลักจะเป็นผู้ทำสัญญาโดยตรงกับเจ้าของโครงการ และมีหน้าที่เข้าใจวัตถุประสงค์ของโครงการ วิเคราะห์แบบก่อสร้าง วางแผนการดำเนินงาน เสนอแผนงานหลัก แผนการใช้วัสดุ การขออนุมัติวัสดุ และแบบ Shop Drawing ซึ่งต้องประสานงานกับทั้งผู้ออกแบบและผู้ควบคุมงาน เพื่อให้การก่อสร้างดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันยังมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยประสานงาน เช่น การจัดการเอกสาร RFI (Request for Information) การควบคุมซัพพลายเชน และการจัดทำคู่มือสำหรับการใช้งานอาคารเมื่อส่งมอบ
ขณะที่ผู้รับเหมาช่วง (Subcontractor) มักจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น งานระบบลิฟต์ งานบันไดเลื่อน ระบบดับเพลิง ระบบป้องกันดินพัง ฯลฯ ซึ่งต้องปฏิบัติงานภายใต้การกำกับของผู้รับเหมาหลัก และมีหน้าที่ทำงานให้ตรงตามแบบและมาตรฐานที่ได้รับอนุมัติ บทบาทของผู้รับเหมาและผู้รับเหมาช่วงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการสร้างผลงานจริงให้เสร็จสมบูรณ์ และต้องทำงานร่วมกับทุกฝ่ายในโครงการอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาการก่อสร้าง
รศ.เอนก ศิริพานิชกร กรรมการสภาวิศวกร กล่าวถึงบทบาทของสภาวิศวกรในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น มีผู้เสียชีวิตหรือผู้สูญหายจากอุบัติเหตุในโครงการก่อสร้าง ว่าสภาวิศวกรจะดำเนินการอย่างจริงจัง โดยจะต้องออกหนังสือถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อสอบสวนและผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากพบเห็นการกระทำที่ผิดมาตรฐานหรือผิดจรรยาบรรณ สามารถแจ้งข้อมูลและร้องเรียนมายังสภาวิศวกรหรือสภาสถาปนิกได้ทันที เพื่อให้เกิดการตรวจสอบและดำเนินการอย่างเหมาะสม
“ความผิดพลาดของวิศวกรแม้เพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก วิศวกรรมจึงถือเป็นงานสร้างสิ่งถาวรที่มีผลต่อชีวิตผู้คนไปอีกหลายรุ่น ดังนั้น มาตรฐานในการควบคุมงานก่อสร้าง โดยเฉพาะบทบาทของ “ผู้ควบคุมงาน” หรือ “ผู้บริหารโครงการก่อสร้าง” (Project Manager) จึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในกฎหมายของประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่มีการรับรองคำว่า “วิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง” อย่างชัดเจน มีเพียงคำว่า “ควบคุมงาน” เท่านั้น ซึ่งถือว่ามีมาตรฐานต่ำ และไม่สอดคล้องกับความรับผิดชอบที่แท้จริงในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยได้ในระยะยาว” รศ.เอนก กล่าว
ชาญณรงค์ แก่นทอง อุปนายกสภาสถาปนิกคนที่หนึ่ง กล่าวว่า การแก้ไขแบบก่อสร้างที่ถูกต้องจะต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องของขนาด ระดับ และตัวเลขต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของสภาฯ การจะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขแบบในภายหลัง จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ออกแบบเสมอ เนื่องจากสถาปนิกได้ออกแบบโดยพิจารณาถึงความเหมาะสมทั้งในด้านการใช้งาน การรับแรง การระบายอากาศ ตลอดจนการคำนึงถึงบริบทของพื้นที่รอบข้าง ดังนั้น การแก้แบบโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ออกแบบจึงถือว่าผิดขั้นตอนและอาจก่อให้เกิดความเสียหายตามมา
รองศาสตราจารย์ ดร.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) และผู้ทำหน้าที่สังเกตการณ์โครงการก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวถึงกรณีปัญหาอาคารของหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะกรณีของอาคาร สตง. ที่มีผู้ปฏิบัติงานจำนวนมาก และมีผู้ควบคุมงานกว่า 51 คนเข้าร่วมดูแลและติดตามการประชุมอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการควบคุมที่เข้มข้น แต่สิ่งที่พบคือยังมีจุดบกพร่องอยู่มาก และสิ่งสำคัญที่ต้องมีควบคู่กันคือ “จริยธรรม” ของผู้ปฏิบัติงาน หากขาดจริยธรรมแล้ว ทำให้เกิดความเสียหายได้ การมีสภาวิชาชีพจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการกำกับดูแล และมีอำนาจในการลงโทษผู้กระทำผิด เช่น การจำกัดสิทธิของวิศวกรหรือสถาปนิกจบใหม่ ไม่ให้รับงานออกแบบอาคารขนาดใหญ่โดยไม่มีประสบการณ์มากพอ เช่น อาคาร 30 ชั้นขึ้นไป เป็นต้น
สำหรับภาพรวมมาตรฐานการก่อสร้างในประเทศไทยถือว่าดี โดยเฉพาะในภาคเอกชนที่มีระบบควบคุมเข้มงวดและใช้เทคโนโลยีทันสมัย แต่ในทางกลับกัน อาคารราชการกลับได้รับการยกเว้นหลายอย่าง ส่งผลให้มาตรฐานของอาคารในภาครัฐต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอาคารราชการขนาดใหญ่ 3 แห่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงจำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานการควบคุมงานให้สูงขึ้นด้วย ข้อมูลที่ได้จากการเข้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์พบว่าขั้นตอนการควบคุมยังไม่เข้มงวดเพียงพอ เช่น การที่ตอกเสาเข็มไปแล้วก่อนเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าข้อมูลแบบก่อสร้าง (Drawing) ถูกแจกเป็นแผ่น CD อย่างเปิดเผยจำนวนมาก จึงเสนอว่าควรมี “ผู้สังเกตการณ์อิสระ” ที่มีความรู้ทางวิชาชีพเข้าไปมีบทบาทมากขึ้น โดยอาจเปิดให้มีการอาสาสมัครจากวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อช่วยเสริมความเข้มแข็งในการควบคุมโครงการ และเพิ่มความโปร่งใสต่อสาธารณะ
รองศาสตราจารย์ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา และศาสตราจารย์กิตติคุณจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาคาร สตง. เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของการมี “สถาปนิก” และ “วิศวกร” ที่มีความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบอย่างแท้จริงในทุกขั้นตอนของการก่อสร้าง ตั้งแต่การรับความต้องการของเจ้าของโครงการ การออกแบบ การกำหนดโครงสร้าง เช่น ความลึกของเสาเข็ม หรือการต้านทานแรงแผ่นดินไหว ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีมาตรฐานรองรับไว้อย่างดีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากการออกแบบแล้ว การควบคุมงานระหว่างการก่อสร้างคือหัวใจหลักของความปลอดภัย ผู้ควบคุมงานต้องรับผิดชอบให้การก่อสร้างเป็นไปตามแบบ หากพบการก่อสร้างที่ผิดไปจากแบบโดยไม่ได้รับอนุมัติ ผู้ออกแบบจะต้องเป็นผู้แก้ไขแบบและให้ความเห็นชอบก่อนเสมอ และในทางกลับกัน ผู้ออกแบบก็ไม่สามารถละทิ้งความรับผิดชอบหลังออกแบบแล้วได้ เพราะความรับผิดชอบของเขาจะคงอยู่ตลอดอายุของอาคาร ไม่ใช่เพียงแค่ตอนส่งแบบเสร็จสิ้น