กพร.- เอ็มเทค จับมือเอกชน 6 ราย ขับเคลื่อนนวัตกรรมออกแบบสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 5,800 ตัน


กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดสัมมนา “สร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจ ด้วยแนวคิดการออกแบบสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Driving Innovation and Sustainability with Circular Economy Design)” ภายใต้ “โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy)” เพื่อการใช้ทรัพยากรแร่และโลหะอย่างยั่งยืน

ดร.กิตติพันธุ์ บางยี่ขัน ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) จะเข้ามาส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้ ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัตถุดิบ ไปจนถึงการจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งาน โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการซ่อมแซม ยืดอายุการใช้งาน และสามารถรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยโครงการได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 ในปี 2568 นี้มีผลสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการและได้รับคำปรึกษาเชิงลึก จำนวน 6 ราย ซึ่งหากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการนำต้นแบบที่ได้รับการพัฒนาไปประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่อง จะสามารถก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากต้นทุนที่ลดลงหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมไม่ต่ำกว่า 145 ล้านบาทต่อปี และยังสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่น้อยกว่า 5,815 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี รวมทั้งช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่ ลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ในงานนี่มีผู้ประกอบการไทย 6 ราย จากหลากหลายอุตสาหกรรม ได้เข้าร่วมพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมเพื่อยืดอายุการใช้งานวัสดุ ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมตั้งแต่ อุตสาหกรรมเคมีและวัสดุโพลิเมอร์, พลังงานและสิ่งแวดล้อม, พลาสติกรีไซเคิล, เครื่องจักรไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงอุตสาหกรรมยาง ซึ่งแต่ละบริษัทได้ร่วมมือกับเอ็มเทคในการวิจัย วิเคราะห์สมบัติของวัสดุ และออกแบบกระบวนการผลิตใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

จุฑาภรณ์ วิภาชนม์ หัวหน้าทีมเทคนิค กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเอไมด์ บริษัท อูเบะ เทคนิคอล เซ็นเตอร์ (เอเชีย) จำกัด กล่าวว่า แนวทางพัฒนา “UBE-ReSource” มุ่งตอบโจทย์เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030 โดยเน้นการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากกระบวนการผลิตให้ได้อย่างน้อย 50% พร้อมกับออกแบบฟังก์ชันใหม่ให้เม็ดรีไซเคิลสามารถแข็งตัวได้รวดเร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขึ้นรูป และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนรวมได้สูงถึง 55%

“ทัศนคติในตลาดที่มองว่าเม็ดรีไซเคิลมีคุณภาพต่ำ ไม่สามารถใช้แทนเวอร์จินได้ แต่แท้จริงแล้ว หากมีการคัดเลือกวัตถุดิบและควบคุมคุณภาพอย่างเหมาะสม เม็ดรีไซเคิลสามารถทำหน้าที่แทนเม็ดเวอร์จินได้เต็มรูปแบบ อูเบะจึงต้องการใช้โครงการนี้เป็นเวทีแสดงให้ End User ได้เห็นถึงศักยภาพของวัสดุหมุนเวียน พร้อมส่งเสริมให้ภาครีไซเคิลพัฒนาการออกแบบและกระบวนการผลิตให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านความแข็งแรง การขึ้นรูปง่าย และการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิต” จุฑาภรณ์ กล่าว

ดร.ธานี เจิมวงศ์รัตนชัย รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไร้ท์รีแอคติเวชั่น จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า โซลูชันเพื่อการฟื้นฟูถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon Regeneration) ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของวัสดุ ลดการพึ่งพาทรัพยากรใหม่ได้กว่า 60% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 30% ต่อปี เกิดจากความตั้งใจในการ “คืนชีวิตให้กับวัสดุ” โดยเฉพาะถ่านกัมมันต์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว ซึ่งโดยปกติจะต้องกำจัดเป็นของเสียอุตสาหกรรม แต่ด้วยเทคโนโลยีของบริษัทฯ สามารถฟื้นฟูให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ในกระบวนการดูดซับสารเคมีหรือสารปนเปื้อนต่าง ๆ ได้เทียบเท่าวัสดุใหม่ กระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการจัดซื้อวัตถุดิบ แต่ยังลดปริมาณของเสียในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีนัยสำคัญ

การเข้าร่วมโครงการของเอ็มเทคช่วยให้บริษัทฯ สามารถขยายขีดความสามารถด้านการออกแบบวัสดุรีไซเคิลให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยเอ็มเทคได้ร่วมพัฒนาในด้านการวิเคราะห์สมบัติของวัสดุ (Material Characterization) การปรับปรุงกระบวนการขึ้นรูป และเพิ่มความทนทานของถ่านกัมมันต์ที่ผ่านการฟื้นฟู เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยตามมาตรฐาน

“บริษัทฯ มีแผนต่อยอดธุรกิจในระยะยาว โดยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตคาร์บอนจากชีวมวล (Bio-based Carbon) ซึ่งเป็นการใช้วัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตร เช่น แกลบ กะลามะพร้าว หรือเศษไม้ มาแปรรูปเป็นถ่านกัมมันต์คุณภาพสูง เพื่อทดแทนการใช้วัตถุดิบจากฐานหิน ซึ่งไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนท้องถิ่น และกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจในห่วงโซ่การผลิตคาร์บอนสีเขียว”  ดร.ธานี กล่าว

จิราภรณ์  แสงวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายควบคุมคุณภาพ บริษัท ยูเนี่ยน เจ. พลัส (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า จากการร่วมมือกับเอ็มเทค บริษัทฯ ได้ปรับปรุง “กระบวนการล้างฟิล์มพลาสติก (Washing Process)” ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการลดการเกิดเจลขนาดใหญ่ในกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ส่งผลต่อคุณภาพและความสม่ำเสมอของเม็ดรีไซเคิล ผลจากการทดสอบพบว่าสามารถลดการเกิดเจลได้มากกว่า 30% ทำให้เม็ดพลาสติกมีความใส เนื้อเนียน และเหมาะสมต่อการนำไปผลิตชิ้นงานที่ต้องการคุณภาพสูง

“บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะพัฒนาเม็ดพลาสติกรีไซเคิลให้เป็น “Food-Grade Material” ภายในปี 2025 เพื่อเจาะตลาดบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งต้องการมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด การเข้าร่วมกับเอ็มเทคจึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับศักยภาพการผลิตของยูเนี่ยน เจ. พลัส จากผู้ผลิตเม็ดรีไซเคิลทั่วไป สู่ผู้ผลิตวัสดุพรีเมียมที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม พร้อมช่วยให้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลของไทยมีคุณภาพเทียบเท่าวัสดุใหม่ และสามารถใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม” จิราภรณ์ กล่าว

ปรัชจนีย์ จีระสวัสดิ์ ผู้จัดการส่วนพัฒนาระบบมาตรฐาน บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  การพัฒนาโครงการ “หม้อแปลงวัฏจักรใหม่ เพื่อโลกที่ยั่งยืน” ด้วยแนวคิด Remanufacturing เกิดจากหม้อแปลงของถิรไทยยังใช้วัสดุเวอร์จินในสัดส่วนค่อนข้างมากราว 60–70% ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศและเผชิญปัญหาเรื่องระยะเวลาการจัดส่ง (Lead Time) ที่ยาวนาน รวมถึงแรงกดดันจากแนวทาง ESG (Environmental Social และ Governance)  ที่ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมลดการพึ่งพาวัตถุดิบใหม่และเพิ่มการใช้วัสดุหมุนเวียน

โครงการนี้จึงเริ่มจากการนำหม้อแปลงเก่ามาผ่านกระบวนการตรวจสอบ (Visual Inspection) แยกชิ้นส่วน และทดสอบองค์ประกอบหลัก เช่น ฉนวน แกนเหล็ก และน้ำมันหม้อแปลง เพื่อประเมินว่าส่วนใดสามารถนำกลับมาใช้ได้ โดยมีเอ็มเทคิดเข้ามาช่วยพัฒนากระบวนการซ่อมและทดสอบให้ได้มาตรฐานมากขึ้น หากชิ้นส่วนใดไม่ผ่านเกณฑ์ จะเข้าสู่กระบวนการทำลายและออกแบบใหม่ ก่อนนำไปประกอบเป็นหม้อแปลงที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานอุตสาหกรรม

“จากการวิเคราะห์หม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 2000 kVA (น้ำหนักรวม 5,810 กิโลกรัม) พบว่า ประกอบด้วยเหล็ก 35.47%, เหล็กซิลิคอน 26.30%, น้ำมันหม้อแปลง 23.22%, ทองแดง 11.54% และวัสดุอื่น ๆ รวมราว 3.47% โดยสามารถหมุนเวียนวัสดุกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 62% ของน้ำหนักรวม โดยเฉพาะโลหะจำพวกเหล็กและเหล็กซิลิคอนที่รีไซเคิลได้สูงสุด”  ปรัชจนีย์ กล่าว

กิตติศักดิ์ สุนทกิจ Supervisor – Recycle Business บริษัท ริโก้ (ประเทศไทยจำกัด เปิดเผยว่า เดิมทีเมื่อเครื่องถ่ายเอกสารถูกใช้งานจนหมดอายุ บริษัทฯ จะต้องส่งคืนให้ซัพพลายเออร์เพื่อดำเนินการทำลาย แต่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้เพียงบางส่วน ทำให้ยังมีของเสียเหลือถึงราว 20% จึงเกิดแนวคิดพัฒนากระบวนการถอดแยกชิ้นส่วน (Disassembly Process) ภายในบริษัทเอง เพื่อเพิ่มอัตราการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ด้วยความร่วมมือกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ทีมของริโก้ได้รับคำแนะนำในการวิเคราะห์ชนิดของวัสดุในเครื่องถ่ายเอกสารอย่างละเอียด เพื่อประเมินศักยภาพในการรีไซเคิลแต่ละส่วน ซึ่งประกอบด้วย แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB), เหล็ก, อะลูมิเนียม, ทองแดง, พลาสติก ABS และพลาสติก HIPS รวมถึงส่วนประกอบย่อยอื่น ๆ เช่น แก้วและยาง เมื่อผ่านกระบวนการคัดแยกและทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ พบว่าสามารถนำวัสดุกลับมารีไซเคิลได้มากถึง 90% ต่อเครื่อง โดยเหลือของเสียเพียงไม่ถึง 10% จากเดิมที่ต้องนำไปกำจัดทั้งหมด

“โครงการนี้ช่วยให้บริษัทฯ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 80% ต่อปี และลดการใช้ทรัพยากรใหม่ลงอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับเป้าหมายด้าน Carbon Footprint Reduction และการขับเคลื่อน เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ขององค์กรในระดับโลก”  กิตติศักดิ์ กล่าว

มงคล เทียนสันต์ PRODUCTION MANAGER บริษัท วัลคัว อินดัสตรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในกระบวนการผลิตมีของเสียจากยางปะเก็นค่อนข้างสูง ซึ่งต้องนำไปเผาทำลาย ส่งผลให้สูญเสียวัตถุดิบและพลังงานจำนวนมาก บริษัทจึงเริ่มออกแบบกระบวนการผลิตใหม่ภายใต้แนวคิด “Zero Waste Manufacturing” มุ่งไม่ให้เกิดขยะในระบบตั้งแต่ต้นทาง โดยหนึ่งในแนวทางหลักคือการปรับปรุงระบบใช้ สารทำละลายโทลูอีน (Toluene) ซึ่งเป็นตัวทำละลายสำคัญในการผลิตปะเก็นยาง โดยนำโทลูอีนที่ใช้แล้วกลับมารีไซเคิลในกระบวนการผลิตได้มากกว่า 80% ช่วยลดการใช้สารเคมีใหม่และลดการปล่อยไอระเหยที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการ “ของเสียจากการเปลี่ยนสีผลิตภัณฑ์” เนื่องจากปะเก็นยางของวัลคัวมีมากถึง 5 สี ตามความต้องการของลูกค้า การเปลี่ยนสีระหว่างไลน์ผลิตมักทำให้เกิดการปนเปื้อนของสีและเกิดเศษวัสดุเสีย บริษัทฯ จึงปรับวิธีทำความสะอาดและคัดแยกวัสดุในแต่ละรอบการผลิตให้เป็นระบบมากขึ้น ส่งผลให้สามารถ ลดของเสียรวมในกระบวนการผลิตได้กว่า 80%

ด้วยความร่วมมือระหว่าง กพร. และเอ็มเทค สวทช. ซึ่งดำเนินโครงการทั้ง 4 ปี  ช่วยผลักดันและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 1,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี สอดคล้องกับเป้าหมาย Carbon Neutrality และโมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย  เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy), เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่รัฐบาลผลักดัน พิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจสามารถเติบโตไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน