สวทช. จับมือกรมควบคุมโรค คุมเข้มโรคเมอร์ส ใช้ “DDC-Care” เฝ้าระวังสุขภาพผู้แสวงบุญฮัจญ์ พร้อมต่อยอด INTERVAC HAJJ ยกระดับความปลอดภัยทางสาธารณสุข


โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส (MERS-CoV) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงประมาณ 35% โดยพบการระบาดครั้งแรกในประเทศซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2555 และยังคงมีรายงานผู้ติดเชื้อในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เดินทางไปยังตะวันออกกลาง ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อผ่านละอองฝอยจากผู้ป่วยหรือจากการสัมผัสสัตว์ที่เป็นพาหะ เช่น อูฐ ด้วยลักษณะของโรคที่รุนแรงและแพร่ระบาดได้ในระดับนานาชาติ การเฝ้าระวังจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้แสวงบุญที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีการรวมตัวของประชาชนจากหลากหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ต้องมีมาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อเมอร์สกลับมายังประเทศไทย

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงร่วมกันดำเนินมาตรการเฝ้าระวังโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส MERS-CoV อย่างเข้มงวด ด้วย DDC-Care Platform เทคโนโลยีรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน ซึ่งถือเป็นการทำงานเชิงรุกและการเฝ้าระวังโรคตามมาตรการสาธารณสุข สำหรับผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ในเดือนมิถุนายนนี้

ศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวง อว. โดย สวทช. ทั้ง 2 หน่วยงาน ได้จัดเตรียมพร้อมนำระบบ DDC-Care Platform เทคโนโลยีที่จะรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน เฝ้าระวังโรคเมอร์ส(MERS-CoV) ในผู้แสวงบุญที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ ระบบนี้ประสบความสำเร็จมาแล้วจากการใช้คัดกรองโรคโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย และถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยและช่วยสร้างความเข้มแข็งในวงการสาธารณสุขไทยอย่างแท้จริง

“งานแถลงข่าวในครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการให้เกิดความกังวลในหมู่พี่น้องชาวไทยมุสลิมของเราว่า การเดินทางไปแสวงบุญ จะมีการแพร่ระบาดหรือติดเชื้อของโรคดังกล่าวในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพียงแต่เป็นมาตรการป้องกันของรัฐบาล นอกจากทีมแพทย์ที่เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงสาธารณสุข ที่เราส่งไปดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบียแล้ว เรายังติดตามดูแลสุขภาพของท่านหลังจากเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกด้วย จึงขอความร่วมมือทุกท่านให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องมุสลิมและประชาชนชาวไทยทุกคน” ศุภชัย กล่าว

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ระบบ DDC-Care  พัฒนาโดย สวทช. ร่วมกับ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การสนับสนุนทรัพยากรระบบ Cloud จากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นระบบติดตาม ผู้มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการประเมินสถานการณ์ ติดตาม เฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ เพื่อรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที

“จุดเด่นของแพลตฟอร์ม DDC-Care มีบทบาทสำคัญในระบบสาธารณสุข โดยสามารถประยุกต์ใช้ป้องกันและเฝ้าระวังโรคอุบัติซ้ำ หรือ โรคติดต่ออันตราย ซึ่งกรมควบคุมโรค นำระบบ DDC-Care ไปใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส ในกลุ่มพี่น้องคนไทยเชื้อสายมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน” ผู้อำนวยการสวทช.กล่าว

นอกจาก DDC-Care แล้ว สวทช. ยังได้พัฒนาต่อยอดระบบวัคซีนพาสปอร์ต INTERVAC มาสู่ INTERVAC HAJJ สำหรับการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนทั้งสิ้น 4 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 โรคไข้กาฬหลังแอ่น โรคไข้หวัดใหญ่ และไข้เหลือง ให้กับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ โดยเริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปี 2565 ระบบ INTERVAC พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ ที่ทำการบันทึกข้อมูลการฉีดวัคซีนและประชาชนที่เข้ารับบริการ ซึ่งเดิมการออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน จะจัดทำในรูปแบบ “สมุดเล่มเหลือง” ที่เขียนด้วยลายมือ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาการทำงานมากขึ้น และไม่สามารถรองรับปริมาณและความต้องการของประชาชนได้ เมื่อมีการนำระบบ INTERVAC มาใช้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลแล้วจะสามารถพิมพ์สมุดเล่มเหลืองได้ทันที พร้อมทั้งใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ QR Code

ด้าน นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การทำงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ที่เดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีฮัจญ์ และแนะนำให้ใช้แอปพลิเคชัน DDC-Care ในการรายงานสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฝ้าระวังผู้ที่อาจจะเสี่ยงเป็นผู้ป่วยโรคเมอร์สภายหลังจากเดินทางกลับจากการประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง และเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ลดการแพร่กระจายของโรคทั้งในครอบครัวและชุมชน

ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้นำระบบ DDC-Care มาใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคเมอร์ส ใน 7 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง สงขลา พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพื่อบริการแก่กลุ่มผู้แสวงบุญที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ ดังนั้นระบบ DDC-Care จึงถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จจากความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเฝ้าระวังและรับมือกับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ หรือโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามและควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว

อนันต์ลดา โชติมงคล นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก (AAT) กล่าวถึงวิธีการใช้งานระบบเฝ้าระวังสุขภาพสำหรับผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ว่า จะมีเจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมโรคและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่จะให้คำแนะนำการใช้งานแอปพลิเคชันที่บ้าน โดยผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอป DDC-Care และล็อกอินตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เพียงเข้าใช้งานในแอปฯ วันละอย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อรายงานสุขภาพตามอาการ เช่น ปวดหัว มีไข้ หรืออาการอื่น ๆ โดยสามารถกรอกข้อมูลว่ามีอาการหรือไม่ จากนั้นระบบจะประเมินความเสี่ยงในการเป็นโรคเมอร์สออกมาเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ไม่เสี่ยง (สีเขียว), ความเสี่ยงต่ำ (สีเหลือง), ความเสี่ยงปานกลาง (สีส้ม), และความเสี่ยงมาก (สีแดง) ซึ่งแต่ละระดับจะมีคำแนะนำด้านสุขภาพให้ปฏิบัติตามอย่างเหมาะสม หากผู้ใช้งานอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงมาก แพทย์จะแนะนำให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ โดยสามารถโทรผ่านแอปฯ ไปยังสายด่วนกรมควบคุมโรคได้โดยตรงเพื่อรับคำปรึกษาเพิ่มเติม


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save