รพ.บำรุงราษฎร์ เผยผลสำเร็จ ปลูกถ่ายหัวใจ ไต ตับ และกระจกตากว่า 90% ยกระดับศูนย์การปลูกถ่ายอวัยวะชั้นนำของไทย


ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนอวัยวะปลูกถ่าย โดยข้อมูล Global Observatory on Donation and Transplantation (GODT) ระบุว่าในปี 2022 ทั่วโลกมีการปลูกถ่ายอวัยวะทั้งหมดเพียง 157,494 ครั้ง และ ‘ไต’ เป็นอวัยวะทีได้รับการปลูกถ่ายมากที่สุดในโลก รองลงมาคือ ตับ และหัวใจ และยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะ ขณะที่ข้อมูลของประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จากศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ระบุว่า มีจำนวนผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะสูงถึง 7,486 ราย ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดย 95% เป็นผู้ป่วยที่รอ ‘ไต’ รองลงมาคือ ตับ หัวใจ ปอด และตับอ่อน ขณะเดียวกันก็มีผู้ป่วยทีได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะแล้วเพียง 946 ราย และจะมีผู้เสียชีวิตระหว่างรอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 ราย

การปลูกถ่ายอวัยวะจึงนับเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สำคัญอย่างมากในการช่วยชีวิตและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคตับแข็ง และโรคหัวใจล้มเหลว รวมถึงการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา ซึ่งเปรียบเสมือนการให้ชีวิตใหม่ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง

รศ.นพ.ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า การปลูกถ่ายอวัยวะเหมือนเป็นความหวังใหม่และอีกโอกาสที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์มากขึ้น ในฐานะที่บำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลที่ให้การรักษาในระดับจตุตถภูมิ (Quaternary Care) เราได้พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เพื่อให้บริการดูแลผู้ป่วยอย่างครอบคลุมเพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง ด้วมทีมแพทย์และสหวิชาชีพที่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะสำคัญ ปัจจุบันบำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับให้เป็นศูนย์การปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจ ไต ตับ และกระจกตา จากศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย และสามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ครบทั้ง อวัยวะ และ เนื้อเยื่อ ได้แก่ หัวใจ ไต ตับ และกระจกตา ซึ่งนับเป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อน

นพ.ทัตพงศ์ จิตเอื้ออารีย์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ – ไตวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ไตเป็นอวัยวะทีได้รับการปลูกถ่ายบ่อยที่สุดในโลก โดยกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไต คือ ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ทั้งในกลุ่มที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตหรือยังไม่ได้รับการบำบัดทดแทนไตสามารถปลูกถ่ายไตได้ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการประเมินความพร้อมด้านสุขภาพก่อนเข้ารับการปลูกถ่ายไตจากสหวิชาชีพ โดยบำรุงราษฎร์ได้ดำเนินการปลูกถ่ายไตให้กับผู้ป่วยมากว่า 37 ปี ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง และการรักษาผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายด้วยการปลูกถ่ายไต และสามารถปลูกถ่ายไตผู้ป่วยได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง 10 ปี จนถึงอายุมากกว่า 80 ปี รวมถึงผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหลายโรค โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลภาวะหลังการปลูกถ่ายไตอย่างใกล้ชิด

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์มีอัตราความสำเร็จในการปลูกถ่ายไตสูงกว่า 90% ซึ่งสูงเทียบเท่ามาตรฐานระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรปตะวันตก โดยผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต จะมีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 96% ใน 1 ปี, 87% ใน 5 ปี และ 75% ใน 10 ปี  ความสำเร็จนี้เกิดจากการประสบการณ์ของทีมแพทย์ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การตรวจวิเคราะห์ยีน การใช้เทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องและหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ที่สำคัญคือ บำรุงราษฎร์ยังสามารถทำการปลูกถ่ายไตข้ามหมูเลือดได้สำเร็จ นับเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่ทำได้

“การปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือดสามารถทำได้และให้ผลลัพธ์ที่ยอมรับได้ แม้ว่าโดยทั่วไปจะมีผลลัพธ์ด้อยกว่าการปลูกถ่ายไตจากผู้บริจาคที่มีหมู่เลือดเดียวกัน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการปลูกถ่าย ได้แก่ คุณภาพของอวัยวะ โรคประจำตัวของผู้ป่วย และการตอบสนองของร่างกายต่อไตใหม่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือดอาจทำให้อายุขัยสั้นลงเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วยังคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการฟอกไตหรือการบำบัดทดแทนไตในระยะยาวในกรณีที่ผู้บริจาคเป็นญาติและมีความตั้งใจบริจาคไตอย่างแท้จริง หากได้รับการประเมินว่าสามารถให้ได้ ทีมแพทย์จะใช้กระบวนการล้างพลาสมาเพื่อลดระดับภูมิต้านทานที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการรับไตใหม่ ทำให้สามารถปลูกถ่ายไตจากผู้บริจาคที่มีหมู่เลือดต่างกัน หรือจากผู้ที่มีความเข้ากันของเนื้อเยื่อไม่สมบูรณ์ได้” นพ.ทัตพงศ์ กล่าว

พญ.ปิยฉัตร พิพัฒนพงศ์โสภณ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจ  หัวใจล้มเหลว โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์  กล่าวว่า ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นสุดท้ายมักเผชิญกับความท้าทายในการใช้ชีวิตประจำวัน หัวใจที่อ่อนล้าไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ ทำให้เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงถึง 10% ต่อปี ‘การปลูกถ่ายหัวใจ’ จึงเป็นการรักษาขั้นสูงสุดที่ช่วยยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย ปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจถือว่าประสบความสำเร็จสูง จากสถิติผู้ป่วยมีอัตรารอดชีวิตมากถึง 8590% ซึ่งหากผู้ป่วยไม่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่อาจเสียชีวิตภายในระยะเวลาเพียง 1ปี

การปลูกถ่ายหัวใจ จึงเป็นทางเลือกในการรักษาที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นสุดท้าย เพราะเป็นการรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูง โดยการแทนที่หัวใจที่เสียหายด้วยหัวใจดวงใหม่จากผู้บริจาค ทำให้หัวใจสามารถทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ การปลูกถ่ายหัวใจเป็นการผ่าตัดใหญ่และมีขั้นตอนที่ซับซ้อน โดยก่อนการผ่าตัด แพทย์จำเป็นต้องประเมินสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของผู้ป่วยอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจการผ่าตัดจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 1-3 สัปดาห์ ซึ่งจะมีหน่วยดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขั้นวิกฤต ที่จะดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง

สถาบันโรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีทีมแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขาวิชาชีพที่เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างครอบคลุม รวมถึงแพทย์เฉพาะทางด้านภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งผ่านการฝึกอบรมและได้รับวุฒิบัตรผู้ชำนาญการเฉพาะทางสาขาภาวะหัวใจล้มเหลวจากประเทศสหรัฐอเมริกา (American Board) ด้วยแนวทางการดูแลรักษาเฉพาะบุคคล ตั้งแต่การวินิจฉัย การวางแผนการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ จนถึงการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย และได้การรับรองมาตรฐานสากล JCI Heart Failure สหรัฐอเมริกา ทำให้การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยในช่วง ปีที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์สามารถผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจให้กับผู้ป่วย 5 รายได้สำเร็จ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้

พญ. อรพิน ธนพันธุ์พาณิชย์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร – โรคตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะตับ มักจะเป็นผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับตับในระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก โดยโรคที่จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายตับ ได้แก่ 1. ภาวะตับวายเฉียบพลัน มักเกิดกับผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคตับมาก่อน ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ยาเกินขนาดหรือเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ 2. โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคที่ทำให้มีการสะสมสารบางอย่างในตับผิดปกติ ส่งผลต่อการทำงานของตับและอวัยวะอื่น ๆ 3. ภาวะตับอักเสบเรื้อรังจนทำให้เป็นตับแข็งระยะท้ายที่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยยาหรือเทคนิคการรักษาอื่น ๆ ซึ่งเกิดหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบและเชื้อไวรัสอื่น ๆ การดื่มสุรามากเกินไปเป็นระยะเวลานานและโรคไขมันพอกตับ และ 4. โรคมะเร็งตับ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนและสภาพของตับว่าเหมาะสมกับการปลูกถ่ายตับหรือไม่ หากเป็นในระยะแรกเริ่ม แพทย์สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการอื่น ซึ่งการรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับจะช่วยยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยให้ดีขึ้น

การรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับ จะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับมาทำงานได้เป็นปกติมากขึ้น ทั้งในส่วนของการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ดีขึ้น โดยตับใหม่จะทำหน้าที่ในการกำจัดสารพิษในร่างกาย สร้างโปรตีน และผลิตน้ำดี ทำให้การทำงานของอวัยวะอื่น ๆ เช่น ไต หัวใจ และสมองกลับมาเป็นปกติ รวมถึงอาการที่เกิดจากโรคตับจะทุเลาลง เช่น อาการเหนื่อยง่าย บวม อาเจียน ก็จะทุเลาลงหรือหายไป ส่งผลให้ผู้ป่วยมีแรงมากขึ้น ทำกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงมีอายุขัยที่เพิ่มขึ้น

ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายตับ จะมีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 97% ในปีแรก, 82% ใน ปี และ 67% ใน 10 ปี ซึ่งถือเป็นอัตราความสำเร็จที่สูง สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ และด้วยประสบการณ์กว่า 22 ปีในการปลูกถ่ายตับ ซึ่งคลินิกโรคตับเป็นหนึ่งใน คลินิกเฉพาะทางของศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยมากกว่า 42,000 รายต่อปี และสามารถดูแลรักษาโรคตับได้อย่างครอบคลุม เช่น ตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ก้อนเนื้อในตับ ไขมันพอกตับ และมะเร็งตับ จนถึงการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง 

ศ.พญ. งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ แพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา การผ่าตัดแก้ไขสายตา กระจกตา และ ต้อกระจก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวปิดท้ายเกี่ยวกับปัญหากระจกตาเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคกระจกตาเสื่อม กระจกตาโก่ง/ย้วย กระจกตาบวม และกระจกตาเป็นแผล ซึ่ง ‘การปลูกถ่ายกระจกตา’ เป็นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนกระจกตาส่วนที่เสียหายด้วยกระจกตาจากผู้บริจาค เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการมองเห็นของผู้ป่วยให้ดีขึ้น ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระจกตาในกรณีที่ผู้ป่วยมีกระจกตาบางหรือทะลุ ซึ่งบำรุงราษฎร์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น กล้องผ่าตัดที่มีการผนวกเทคนิคที่ช่วยในการตรวจชั้นต่าง ๆ ของกระจกตาในระหว่างผ่าตัด ทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูงขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน

การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา มีด้วยกัน วิธี คือ 1. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาทุกชั้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาที่กระจกตาทุกชั้น และ 2. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาเฉพาะชั้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาที่กระจกตาบางชั้นเท่านั้น โดยมีให้เลือกทั้งการปลูกถ่ายกระจกตาชั้นบน และการปลูกถ่ายกระจกตาชั้นใน ซึ่งเป็นเทคนิคที่ละเอียดอ่อนและมีความแม่นยำสูง และในกรณีผู้ป่วยที่มีโรคกระจกตาซับซ้อน ศูนย์ปลูกถ่ายกระจกตา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา พร้อมเทคนิคการรักษาที่หลากหลาย เช่น เลเซอร์ PTK, ฉายแสง UVและการผ่าตัดใส่วงแหวน ซึ่งอาจใช้รักษาร่วมกับการปลูกถ่ายกระจกตาเพื่อปรับปรุงการมองเห็นให้ดีที่สุด

ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายกระจกตาด้วยอัตราสูงถึง 97% โดยผู้ป่วยยังคงมองเห็นได้ชัดเจนหลังการผ่าตัด ปี และไม่มีรายงานภาวะแทรกซ้อนใด ๆ เช่น การติดเชื้อ ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามองเห็นเป็นปกติได้


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save