วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม


วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม

จังหวัด “สมุทรสงคราม” เป็นแหล่งผลิตลิ้นจี่ที่สำคัญเป็นอันดับ 1 ในภาคกลาง  โดย “ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม” เป็นสินค้าเกษตรที่ได้รับการรับรองสินค้าที่มีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)  มีลักษณะผลเล็ก เนื้อแห้ง กลิ่นหอมรสหวาน ติดฝาดเล็กน้อย ในแต่ละปีจะให้ผลผลิตเพียงครั้งเดียว ปัจจุบันมีเกษตรกรปลูกลิ้นจี่ทั้งสิ้น 1,920 ครัวเรือน รวมเนื้อที่การปลูกประมาณ 5,196 ไร่  แยกเป็นพื้นที่อำเภอเมือง 7 ไร่ อำเภออัมพวา 2,328 ไร่ และอำเภอบางคนที 2,861 ไร่  เนื่องจาก “ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม”  เป็นพืชที่ต้องการความหนาวเย็นไม่มากและหนาวเย็นไม่นานก็สามารถออกดอกได้  สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร  และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแปลงใหญ่ โดยที่ตำบลแควอ้อม อำเภออัมพวามีสวนลิ้นจี่ 200 ปี ซึ่งมีต้นลิ้นจี่อายุ 200 ปีให้ชมกันด้วย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  นำทีมโดย ดร.ชุติมา   เอี่ยมโชติชวลิต  ผู้ว่าการ พร้อมด้วย ดร.รจนา  ตั้งกุลบริบูรณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (ศนก.) ดร.กุศล  เอี่ยมทรัพย์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (ศนก.) และ ดร.สรวิศ  แจ่มจำรูญ  นักวิจัย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (ศนก.)  ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อติดตามผลสำเร็จจากการดำเนิน โครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม  ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีภายใต้การสนับสนุนโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)  เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรมสู่ภูมิภาค ก่อให้เกิดการลงทุนของเกษตรกร ผู้ประกอบการแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม  สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูป พร้อมกระตุ้นการบริโภคของประชาชนภายในประเทศ

 

วว.นำร่องพื้นที่จ.สมุทรสงคราม   นำนวัตกรรมเพิ่มผลผลิตและคุณภาพลิ้นจี่พันธุ์ค่อมพัฒนาเกษตรกรปลอดภัย วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม ดร.ชุติมา   เอี่ยมโชติชวลิต   ผู้ว่าการ  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  กล่าวว่า  โครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม   เป็นโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ที่วว.ได้รับเงินสนับสนุนจากสภาพัฒน์กว่า  30 ล้านบาท  เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัดทั้งใกล้และไกล เช่น    สมุทรสงคราม ปทุมธานี จันทบุรี เพชรบูรณ์ ชุมพร พังงา อุดรธานี และสกลนคร   โดยเน้นพัฒนาเกษตรกรปลอดภัย สำหรับพื้นที่ ตำบลแควอ้อม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม วว.ได้นำเรื่องชีวพันธุ์เข้ามาดำเนินงานที่  เพื่อให้เกิดเกษตรกรปลอดภัย    พร้อมนำนวัตกรรมเพิ่มผลผลิตและคุณภาพลิ้นจี่พันธุ์ค่อม ซึ่งเป็นพืชอัตลักษณ์ของจ. สมุทรสงคราม ผ่านการดำเนินงาน “การใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชส่งเสริมการผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อม”  จำนวน  7  พื้นที่ โดยใช้สารควบคุมฯ กับต้นลิ้นจี่จำนวนกว่า 200 ต้น  ตัวอย่างเช่น  แปลงสาธิตที่ 1  ณ   สวนนายบุญมา  นวมสุคนธ์  และแปลงสาธิตที่ 2  ณ  สวนลิ้นจี่ 200 ปี  เป็นต้น ทำให้มีผลผลิตที่ดี สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มมากขึ้น วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม

จุดเด่นของลิ้นจี่ที่ใช้ฮอร์โมนพืชและสารบำรุงของวว .  คือ ออกดอกได้เร็วกว่าลิ้นจี่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมของต้น  ทำให้ราคาจำหน่ายลิ้นจี่สูงกว่า เนื่องจากออกก่อนฤดูกาล และยังให้ปริมาณผลผลิตมากกว่า เพราะเตรียมต้นได้สมบูรณ์  ลดการหลุดร่วงเพราะออกผลผลิตก่อน ช่วยเลี่ยงฝนหลงฤดูที่เป็นสาเหตุทำให้ดอกและผลร่วง นอกจากนี้การให้ฮอร์โมนแปลงเพศจะทำให้ติดผลมากกว่า และการให้ฮอร์โมนขยายขนาดผล จะทำให้ผลโต ได้ เกรดและคุณภาพดี จำหน่ายได้ราคาสูงกว่า

“เป้าหมายในการลงมาทำงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ทำให้เกิดความยั่งยืน โดยวว.จะเป็นพี่เลี้ยงจนพี่น้องเกษตรกรทำได้เอง ในส่วนของนวัตกรรมยืดอายุหลังเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่ วว.ให้ความสำคัญในช่วงฤดูที่มีผลผลิตจำนวนมาก ทำให้สีของผลลิ้นจี่ดูสวย   ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของเกษตรกรและผู้ประกอบการในอนาคต   โดยวว. พร้อมขยายผลการดำเนินงานในรูปแบบโมเดลนี้ไปยังพื้นที่อื่นๆ ของประเทศต่อไป  เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร สร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจด้วยเกษตรกรรมที่มีประสิทธิภาพ  ” ผู้ว่าการ วว. กล่าว

 

ความสำเร็จของโครงการฯ  ช่วยเพิ่มขนาดผลลิ้นจี่ 20%  และเพิ่มผลผลิต 40% สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม

ด้านดร.รจนา  ตั้งกุลบริบูรณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (ศนก.)  กล่าวว่า  ปัญหาลิ้นจี่พันธุ์ค่อมที่ จ.สมุทรสงคราม  คือ บางปีไม่มีผลผลิตเลย  วว. จึงถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยการทำแปลงสาธิตการผลิตลิ้นจี่ในแปลงเกษตรกรจำนวน  7  แปลง  ซึ่งปลูกต้นลิ้นจี่ที่มีอายุ 50 – 100 ปี จำนวน 200 ต้นโดยเตรียมต้นลิ้นจี่และฉีดฮอร์โมนและสารบำรุงก่อนเข้าฤดูหนาวจำนวน 2 เดือน เพื่อให้ลิ้นจี่ออกใบอ่อนพร้อมกัน และได้รับสารบำรุงทางใบจนมีความสมบูรณ์และมีใบแก่รอฤดูหนาว ซึ่งมีขั้นตอน กล่าวคือ  เมื่อลิ้นจี่เจอฤดูหนาวแล้วมีดอก ให้เกษตรกรฉีดพ่นฮอร์โมนเพิ่มดอกเพศผู้เพื่อเพิ่มการติดผล ใช้เวลา 4 เดือนจากดอกออกเป็นผล  เมื่อลิ้นจี่ติดผล ให้เกษตรกรฉีดสารขยายขนาดผลและสารบำรุงเพิ่มขนาดของผลและลดการหลุดร่วงของผลลิ้นจี่ จากการปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าว ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แล้วทำการเปรียบเทียบต้นให้สารและไม่ให้สาร พบว่าการออกดอกของต้นให้สารจะหนาแน่นกว่าประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ และต้นไม่ให้สารจำนวน  50  ต้น ไม่ออกดอกและผล   6  ต้น  ส่วนต้นให้สาร 150  ต้น ไม่ออกดอกและผล 1  ต้น   อย่างไรก็ตาม ในปีที่อากาศไม่หนาว  ต้นให้สารและไม่ให้สารจะออกดอกและผลแตกต่างมากกว่าปีนี้ที่มีอากาศหนาวยาวนาน

“ความสำเร็จของโครงการฯ นี้ คือ การเพิ่มขนาดของผลลิ้นจี่ 20 เปอร์เซ็นต์  และเพิ่มผลผลิต 40  เปอร์เซ็นต์  ลิ้นจี่ 1 ต้น ได้ผลผลิต 50 กิโลกรัม หากปลูก 60 ต้น  จะได้ผลผลิต  3,000 กิโลกรัม ราคาขายหน้าสวนกิโลกรัมละ 150 บาท  วางขายได้ตั้งแต่ต้นเดือนถึงสิ้นเดือนเมษายน ช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร   ทั้งนี้ที่เกษตรกรยอมเปลี่ยนแปลงตามความรู้ที่เรานำไปให้  เพราะผลผลิตมากขึ้น   โดยเสียค่าใช้จ่ายฮอร์โมนพืชต้นละ 20 บาท  ทั้งนี้ฮอร์โมนพืชสามารถใช้ได้กับส้มโอและพืชตระกูลส้มได้อีกด้วย”  ดร.รจนา กล่าว

 

ใช้ฮอร์โมนพืชและนมผงปรับสภาพต้นลิ้นจี่จากใบอ่อนเป็นใบแก่พร้อมออกผล แถมลดการใช้ปุ๋ย 50%  วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม ดร.กุศล  เอี่ยมทรัพย์ นักวิจัยอาวุโส  ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (ศนก.)  กล่าวว่า การเปลี่ยนสภาพต้นลิ้นจี่จากใบอ่อนเป็นใบแก่ โดยปรับฮอร์โมน  หยุดการเติบโตของลำต้น  เมื่อมีลมหนาวมากระทบ สามารถออกดอกได้ทันที   ใน เดือน 30 กันยายน ปีหน้า จะให้ออกใบอ่อน สิ้นเดือนพฤศจิกายนออกไปน่าจะออกใบแก่วันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งมีอากาศหนาวสั้นๆ  ต้นพร้อมออกผลได้ทันที  นอกจากฮอร์โมนพืชยังใส่นมผงเกรดเบเกอรี่  ซึ่งมีโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ เพื่อให้ต้นสมบูรณ์ขึ้น     ลดการใช้ปุ๋ย 50%  ปัจจุบันราคาปุ๋ยแพง 4 เท่าจาก 500 เป็น 1,800  บาท  วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม

บุญมา  นวมสุคนธ์   เกษตรกรจังหวัดสมุทรสงคราม  กล่าวว่า   ที่ผ่านมาประสบปัญหาการควบคุมการออกดอกของลิ้นจี่ ทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่สม่ำเสมอทุกปี และมีผลผลิตต่ำ จากการที่ วว. ได้นำนักวิจัยและความรู้มาอบรมและให้คำแนะนำต่างๆ ทำให้ขณะนี้ลิ้นจี่ติดผลมาก และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และมีลูกดก กิ่งก้านแข็งแรงมาก ผลผลิตออกจำนวนมากกว่าสวนที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ

“ส่วนตัวดีใจและภูมิใจที่ได้รับคำแนะนำและนักวิจัยลงพื้นที่มาทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด  หากเกษตรกรท่านอื่นๆ สนใจขอให้ติดต่อที่ วว. ได้เลย จะได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพ ทั้งนี้เกษตรกรก็ต้องปฏิบัติตามที่นักวิจัยแนะนำด้วย” บุญมา กล่าว

 

มอบตู้รมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลิ้นจี่แบบเคลื่อนที่ให้เกษตรกรในพื้นที่ ยืดอายุหลังการเก็บเกี่ยวต่อไป วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม

โดยคุณสมบัติของลิ้นจี่หลังการเก็บเกี่ยวแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพผลผลิตและเอธิลีนไม่มีผลต่อการสุก หรืออีกนัยหนึ่ คือ  เป็นผลไม้ที่ไม่สามารถบ่มให้สุกได้ ดังนั้นการเก็บเกี่ยวลิ้นจี่จึงควรเก็บเกี่ยวในระยะผลแก่พอดีเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยทั่วไปเกษตรกรจะใช้การเปลี่ยนสีของเปลือกเป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจว่า จะเก็บเกี่ยวผลลิ้นจี่ได้หรือไม่ โดยจะสังเกตจากเปลือกของลิ้นจี่ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวอมชมพู สีชมพูหรือสีแดง  โดยเกณฑ์การเปลี่ยนสีจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ สภาพแวดล้อม และการดูแลรักษา  ลิ้นจี่หลังการเก็บเกี่ยวแล้วต้องระมัดระวังตามกระบวนการเก็บเกี่ยวและการขนส่งอย่างถูกต้อง ในกรณีที่ไม่มีการรมด้วยซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ผิวผลจะมีสีชมพู แดง หรือแดงเข้ม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ เมื่อรมด้วยซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ผิวผลอาจเป็นสีเหลืองจางถึงชมพู

ในโอกาสนี้ ดร.ชุติมา  เอี่ยมโชติชวลิต  ผู้ว่าการ  วว. พร้อมคณะนักวิจัย  ได้มอบนวัตกรรมการยืดอายุหลังการเก็บเกี่ยวลิ้นจี่ “ชุดรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลิ้นจี่แบบเคลื่อนที่” ให้แก่ บุญมา  นวมสุคนธ์  ในฐานะผู้แทนกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อนำไปใช้ในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมและยืดอายุหลังการเก็บเกี่ยวต่อไป วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม

ชุดรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลิ้นจี่แบบเคลื่อนที่ ประกอบด้วยตู้ทนกรดขนาด 120×120 เซนติเมตร  สำหรับใช้บรรจุลิ้นจี่  และต่อท่อเข้ากับชุดเผากำมะถัน ซึ่งจะใช้กำมะถัน 300 กรัมต่อลิ้นจี่ 200 กิโลกรัม หลังจากการรม 2 ชั่วโมง แล้วดูดแก๊สกำมะถันออกไปบำบัด ในส่วนของระบบจะบำบัดด้วยด่างต่อไป   โดย ศนก.วว. ประสบผลสำเร็จในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมนี้ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการยืดอายุหลังการเก็บเกี่ยวลิ้นจี่ได้นาน 3 สัปดาห์ เนื่องจากแก๊สกำมะถัน (สารซัลเฟอร์) สามารถกำจัดโรคพืชที่ติดมากับผล มีกำลังผลิต 200 กิโลกรัม/ครั้ง ใช้เวลาการรมประมาณ 2 ชั่วโมง

 

ชี้ซัลเฟอร์ ฯจะช่วยบล็อกเอนไซม์ผิวของเปลือกลิ้นจี่ไม่ให้มีสีน้ำตาล หากเก็บที่อุณหภูมิ 50c  จะเก็บได้นาน 11 เดือน

วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม ดร.สรวิศ  แจ่มจำรูญ  นักวิจัย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (ศนก.) กล่าวว่า  ตู้รมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลิ้นจี่แบบเคลื่อนที่  ขนาด 200 กิโลกรัม ใช้กำมะถันเผาให้ได้ซัลเฟอร์ ฯ  มีหอบำบัดก๊าซรม เพื่อ ยืดอายุหลังการเก็บเกี่ยว  เพราะเก็บลิ้นจี่ไม่นาน  ผิวเปลือกลิ้นจี่จะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีน้ำตาลและแห้งภายใน 2-3 วัน  เนื่องจากการสูญเสียน้ำชของเปลือก และการเปลี่ยนแปลงของสารประกอบฟินอลภายในเปลือก  โดยซัลเฟอร์ ฯจะเข้าไปช่วยบล็อกเอนไซม์ไม่ให้มีสีน้ำตาล หากเก็บที่อุณหภูมิ 50c จะเก็บได้นาน 11 เดือน วว. นำนวัตกรรมฮอร์โมนพืชเพิ่มผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อมนอกฤดูกาล สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร จ.สมุทรสงคราม เป็นที่ทราบกันดีว่า ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มีหน้าที่ยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ ทั้งแบคทีเรีย (Bacteria) ยีสต์ (Yeast) และรา (Mold)  ใช้เป็นสารฟอกสีผลไม้สด เช่น ลำไย ลิ้นจี่ ปริมาณการใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอาหารต้องไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ดังนี้  1.ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 214 (พ.ศ.2543) กำหนดให้มีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในเครื่องดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิท ได้ไม่เกิน 70 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม  2.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไวน์   มอก. 2089-2544 ได้กำหนดให้มีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ไม่เกิน  300  มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เดซิเมตร  และ 3.องค์การอนามัยโลก ( WHO ) กำหนดค่าความปลอดภัยไว้ คือ ปริมาณที่ได้รับไม่เกิน 0.7 มิลลิกรัม/คน/วัน


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save