ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งด่วน หวังบรรเทาผลกระทบประชาชนจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น


 การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2565  ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล โดย ครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้

  1. เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป
  2. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กำกับและติดตามให้หน่วยงานในสังกัดที่มีอำนาจและหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  3. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกันพิจารณาติดตามและปรับปรุงมาตรการการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของราคาพลังงานในตลาดโลก โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ ความพร้อมและความสามารถทางการเงินของภาครัฐภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561
  4. มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมข้อเสนอแนวทางหรือมาตรการผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปที่มีลักษณะมุ่งเป้าของกระทรวงต่าง ๆ เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

แนวทางการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1. มาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย แรงงานและเกษตรกรประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานจากความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป และ 2.มาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะต่อไป เพื่อติดตามและปรับปรุงมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาจากความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ของราคาพลังงานในตลาดโลกและบริบทที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

     มาตรการระยะเร่งด่วน

  1. หลักการ เป็นการให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบมุ่งเป้า โดยเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่เกิดขึ้นโดยตรง ได้แก่ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มแรงงานและเกษตรกร ประชาชนทั่วไปรวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
  2. ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ ตั้งแต่เดือนเมษายน – สิงหาคม พ.ศ.2565 ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละแนวทางการให้ความช่วยเหลือ
  3. แนวทางการให้ความช่วยเหลือ – ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยการบริหารจัดการราคาเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้าที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน และเป็นปัจจัยการผลิตพื้นฐานของสถานประกอบการโดยเฉพาะสถานประกอบการขนาดเล็ก เพื่อบรรเทาไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น (Cost-Push Inflation) ซึ่งจะกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเป็นวงกว้าง ดังนี้
    1. ราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) มีการกำหนดราคาขายปลีก LPG ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน พ.ศ.2565 ให้อยู่ในอัตรา ดังนี้ เดือนเมษายน พ.ศ.2565 เท่ากับ 333 บาทต่อถัง (ขนาด 15 กิโลกรัม) เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 เท่ากับ 348 บาทต่อถัง และเดือนมิถุนายน พ.ศ.2565 เท่ากับ 363 บาทต่อถัง ทั้งนี้ จากการประมาณการแนวโน้มราคา LPG ในตลาดโลกในช่วงดังกล่าว คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 6,380 ล้านบาท ซึ่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะเป็นผู้บริหารจัดการ
    2. ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (NGV) ตรึงราคาขายปลีก NGV ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน พ.ศ.2565 เท่ากับ 15.59 บาทต่อ กก. โดยขอความร่วมมือจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ.ปตท.) ซึ่งจากการประมาณการแนวโน้มราคาก๊าซ NGV ในช่วงดังกล่าว คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,590 ล้านบาท
    3. ราคาค่าไฟฟ้า โดยการให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน เป็นระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2565 ทั้งนี้ จากการประมาณการแนวโน้มความต้องการไฟฟ้า ราคาค่าเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงดังกล่าว คาดว่าจะทำให้ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 2,000 – 3,500 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นจะใช้แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
    4. เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กำกับดูแลราคาสินค้าและบริการโดยสารเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประชาชนของประชาชน เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเกินความจำเป็นและความเหมาะสม และในกรณีที่ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลง เห็นควรกำหนดให้มีกลไกในการกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการปรับราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสมกับต้นทุนที่มีแนวโน้มลดลง พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการมุ่งเน้นการควบคุมและบริหารจัดการต้นทุนภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวควบคู่ไปด้วย

– ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบอาชีพในภาคขนส่ง โดยการบริหารจัดการราคาค่าเชื้อเพลิงที่เป็นต้นทุนสำคัญ ดังนี้

  1. ราคาน้ำมันดีเซล โดยการบริหารราคาน้ำมันดีเซลโดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีสรรพสามิต โดยตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตรในเดือนเมษายน พ.ศ.2565 หลังจากนั้นในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน พ.ศ.2565 ในกรณีที่ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศยังคงสูงเกินกว่าราคาที่กำหนดไว้ รัฐจะอุดหนุนราคาส่วนเพิ่ม 50% ทั้งนี้ จากการประมาณการราคาน้ำมันดีเซลในตลาดเอเชียในช่วงเวลาดังกล่าวคาดว่าจะมีราคาเฉลี่ยประมาณ 115 – 135 เหรียญ สรอ. ต่อบาร์เรล คาดว่าภาครัฐจะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการราคาน้ำมันดีเซล รวมประมาณ 33,140 ล้านบาท
  2. ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้ส่วนลดแก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ (รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง) ที่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะที่จดทะเบียนเป็นผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างกับกรมการขนส่งทางบก จำนวนประมาณ 157,000 ราย จำนวน 5 บาทต่อลิตร ไม่เกิน 250 บาทต่อคนต่อเดือน ในช่วงเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม พ.ศ.2565 ทั้งนี้ จากการประมาณการค่าใช้จ่ายตามแนวทางดังกล่าว จะทำให้ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 120 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นจะใช้แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
  3. ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) โดยการขอความร่วมมือจาก บมจ.ปตท. สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) ที่ลงทะเบียนภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน จำนวน 17,460 ราย สามารถซื้อก๊าซ NGV ในอัตรา 13.62 บาทต่อ กก. ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน พ.ศ.2565 วงเงินไม่เกิน 10,000 บาท ต่อเดือน ทั้งนี้ จากการประมาณการแนวโน้มราคาก๊าซ NGV ในช่วงดังกล่าวจะทำให้ บมจ.ปตท. จะมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 171 ล้านบาท

– การดูแลค่าครองชีพประชาชนผู้มีรายได้น้อย ให้ส่วนลดค่าก๊าซ LPG แก่กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและลดภาระต้นทุนในการประกอบอาชีพให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน พ.ศ.2565 ดังนี้

  1. กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั่วไป ให้ส่วนลดสำหรับซื้อก๊าซ LPG เพิ่มเติมอีก จำนวน 55 บาท ต่อ 3 เดือน รวมเป็น 100 บาทต่อ 3 เดือน ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิประมาณ 3.6 ล้านราย ทั้งนี้ จากการประมาณการค่าใช้จ่าย คาดว่าจะทำให้ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 200 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นจะใช้แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
  2. กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั่วไปที่เป็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้ลงทะเบียนกับ บมจ. ปตท. โดยการขอความร่วมมือจากบมจ. ปตท. ในการให้ส่วนลดสำหรับซื้อก๊าซ LPG ไม่เกิน 100 บาทต่อรายต่อเดือน ทั้งนี้ คาดว่าตามแนวทางดังกล่าวจะทำให้มีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 1.65 ล้านบาท

– ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพรีเมี่ยมเนื่องจากเป็นน้ำมันที่ใช้กับกลุ่มรถยนต์ของผู้ที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อลดภาระการสนับสนุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยจะสามารถบริหารเงินในส่วนนี้สำหรับชดเชยให้กับกลุ่มที่มีความจำเป็นต่อไป

– การสนับสนุนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพของราคาพลังงานของประเทศ โดยพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุน ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินและจำเป็น ตามมาตรา 6 (2) ของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 ให้แก่ กองทุนฯ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่สถาบันการเงินที่จะให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่กองทุนฯ

  •  การลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกและรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบหมายกระทรวงคมนาคม พิจารณาความเหมาะสมของการลดอัตราหรืองดการจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการต่ออายุทะเบียนรถบรรทุกและรถโดยสารสาธารณะในปี พ.ศ.2565 และนำเสนอเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

– การดูแลกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบ โดยการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้ประกันตนและลดต้นทุนการผลิตให้แก่นายจ้าง ผ่านกลไกของกองทุนประกันสังคม ดังนี้

  1. นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 โดยกำหนดให้มีการลดอัตราเงินสมทบฝ่ายนายจ้างและผู้ประกันตามมาตรา 33 จากเดิมฝ่ายละ 5% ของค่าจ้างผู้ประกันตน เหลือฝ่ายร้อยละ 1 ของค่าจ้างผู้ประกันตน สำหรับงวดค่าจ้างเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม พ.ศ.2565 ทั้งนี้ คาดว่าจะการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้มีวงเงินประมาณ 33,857 ล้านบาท
  2. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 โดยกำหนดให้มีการลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตามมาตรา 39 จากเดิม 9% ของฐานค่าจ้าง 4,800 บาท (เดือนละประมาณ 432 บาท) เหลือ 1.90% ของค่าจ้าง 4,800 บาท (เดือนละ 91 บาท) สำหรับงวดค่าจ้างเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม พ.ศ.2565
  3. ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยกำหนดให้มีการลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตามมาตรา 40 จากเดิม 70 – 300 บาทต่อเดือน เป็น 42 – 180 บาทต่อเดือน (แล้วแต่กรณี) จำนวน 6 เดือน สำหรับงวดค่าจ้างเดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม พ.ศ.2565

ในเบื้องต้น การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวจะทำให้กองทุนประกันสังคม มีรายรับจากเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ลดลงรวมประมาณ 33,857 ล้านบาทสำหรับมาตรการที่ 1– 2) และประมาณ 1,367 ล้านบาท สำหรับมาตรการที่ 3)

  • การดูแลกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาปัจจัยการผลิต โดยการแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพงและปุ๋ยขาค รวมถึงปัญหาอาหารสัตว์ โดยปัจจุบันคณะทำงานของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือดูแลกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาปัจจัยการผลิต ดังนั้น จึงเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ เร่งดำเนินการจัดทำข้อเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป

ส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะต่อไป เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการพิจารณาให้ความช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพของประชาชนและผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปในลักษณะมุ่งเป้าได้ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกันพิจารณาติดตามและปรับปรุงมาตรการการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของราคาพลังงานในตลาดโลก โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจความพร้อมและความสามารถทางการเงินของภาครัฐภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วย 

ทั้งนี้ กรณีที่กระทรวงผู้รับผิดชอบพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการลดผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปที่มีลักษณะมุ่งเป้า เห็นควรให้กระทรวงรับผิดชอบเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือให้ สศช. รวบรวมก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป

สำหรับผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินการตามข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปจะช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อย แรงงานและเกษตรกร ประชาชนทั่วไป และสามารถลดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการในช่วงระยะเวลาของมาตรการ


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save