กรุงเทพฯ – ประเทศไทย- 5 พฤษภาคม 2564: วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก เผยข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมจากการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า[1] (Visa Consumer Payment Attitudes Study) ว่าผู้บริโภคชาวไทยเกือบครึ่งหนึ่ง ราว 45 เปอร์เซ็นต์ มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายด้วยเงินสดถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 จะสิ้นสุดลง
[1] การศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปี 2563 ของวีซ่า ซึ่งจัดทำโดย CLEAR ในนามของวีซ่าเมื่อเดือนกันยายน 2563 ในแปดประเทศทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม กับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 7,500 คน รวมทั้งผู้บริโภคในประเทศไทยจำนวน 1,000 ราย ที่มีอายุระหว่าง 18-65 ปี ครอบคลุมทุกระดับการศึกษา และมีรายได้ขั้นต่ำต่อคนที่ 15,000 บาท
การศึกษาฉบับนี้ยังได้เจาะลึกในเรื่องของกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคชาวไทยตั้งตารอเมื่อสถานการณ์ในปัจจุบันคลี่คลายลง โดย 3 กิจกรรมที่ผู้คนสนใจมากที่สุด คือ 1.การท่องเที่ยวภายในประเทศ คิดเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ 2.การท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางต่างประเทศที่ปลอดภัยจาก COVID-19 ประมาณ 29 เปอร์เซ็นต์ และ 3.การจัดทริปสั้น ๆ ภายในเมืองที่อาศัยอยู่ 19 เปอร์เซ็นต์
สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า วิกฤตการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ รวมถึงด้านการงาน และการจับจ่ายของผู้คนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกอย่างมหาศาล เป็นเวลากว่าหนึ่งปีนับแต่การเริ่มระบาดของ COVID-19 เราได้จับตามองว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตจะส่งผลอย่างไรต่อการดำรงชีวิตของเราในอนาคต ซึ่งวีซ่าเองก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการศึกษาและนำสิ่งที่เราค้นพบมาแบ่งปันด้วยความเชื่อที่ว่าในท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนเพื่อใช้ในการเตรียมตัวและวางแผนในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้
การศึกษาฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่น่าจะกลายเป็น New Normal หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในครั้งนี้ คือ การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในชีวิตประจำวัน 62 เปอร์เซ็นต์ และการหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนชุมนุมกันหนาแน่น 43 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคชาวไทยช้อปปิ้งผ่านช่องทางใหม่ ๆ ซึ่งช่องทางที่ผู้ตอบแบบสำรวจใช้เป็นครั้งแรกมากที่สุดหลังการเกิดวิกฤตการณ์ COVID-19 คือ การช้อปผ่านแอปและเว็บไซต์ 65 เปอร์เซ็นต์ การใช้บริการส่งตรงถึงบ้านหลังการสั่งซื้อทางโทรศัพท์กับร้านค้าในพื้นที่ 47 เปอร์เซ็นต์ และการช้อปผ่านโซเชียลมีเดีย 44 เปอร์เซ็นต์
สิ่งที่น่าสนใจ คือ กลุ่มผู้บริโภคชาวไทยได้ถูกปรับพฤติกรรมให้ต้องมีการคิดทบทวนเพื่อจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายไปโดยปริยาย โดยผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ชี้ให้เห็นว่า หมวดการใช้จ่ายที่มีการลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ คิดเป็น 63 เปอร์เซ็นต์ การไปชมภาพยนตร์หรือร่วมงานกิจกรรมต่าง ๆ 60 เปอร์เซ็นต์ การซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กระเป๋า นาฬิกา และเครื่องประดับ 60 เปอร์เซ็นต์ การรับประทานอาหารในร้านอาหารแบบ Fine-dining 58 เปอร์เซ็นต์ การใช้บริการเสริมสุขภาพและความงาม 57 เปอร์เซ็นต์ และการซื้อเสื้อผ้าใหม่ 54 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ นอกเหนือไปจากเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายใน ต่างประเทศ และทริประยะสั้น ผลวิจัยยังพบว่าผู้บริโภคชาวไทยเตรียมที่จะกลับไปซื้อสินค้าจำพวกแก็ดเจ็ตต่าง ๆ 16 เปอร์เซ็นต์ ของชำและของใช้ส่วนตัว 15 เปอร์เซ็นต์ และการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านและกิจกรรมเพื่อความบันเทิงนอกที่พักอาศัย 10 เปอร์เซ็นต์ โดยน้อยกว่าหนึ่งใน 10 วางแผนที่จะเปลี่ยนเครื่องใช้ในบ้านใหม่ 9 เปอร์เซ็นต์ และซื้อสินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย 8 เปอร์เซ็นต์
“เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นนี้ จะกลายมาเป็นพฤติกรรมถาวรมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราว ซึ่งรวมถึงการเลือกใช้วิธีการชำระเงินแบบไร้สัมผัส อย่างเช่น การแตะเพื่อจ่ายผ่านบัตรหรือสมาร์ทโฟน ซึ่งมอบประสบการณ์ทางการชำระเงินที่ดีกว่า แถมยังปลอดภัยทั้งกับผู้ซื้อและผู้ขายอีกด้วย เราหวังว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว และในขณะเดียวกันวีซ่าได้ทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจต่าง ๆ ของเราทั้งในและนอกวงการธุรกิจด้านการชำระเงิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่น่าจะใกล้เข้ามาก่อนเวลาที่ได้เราคาดการณ์ไว้” ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวทิ้งท้าย