นายกสภาวิศวกร แนะ 4 แนวทางตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ หยุดปัญหา “น้ำประปาเค็ม”


กรุงเทพฯ : ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร และ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เสนอ 4 ข้อตามหลักวิศวกรรศาสตร์ ช่วยแก้ปัญหา “น้ำประปาเค็ม” ในกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 1. เลือกตำแหน่งสถานีสูบน้ำดิบ 2. เตรียมแหล่งน้ำดิบสำรอง   3. ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลการปล่อยน้ำระหว่างหน่วยงาน และ 4. ปรับการบริหารจัดการเปิด-ปิดประตูน้ำ

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร และ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่า นอกจากปัญหา COVID   จากการตรวจพบคลัสเตอร์ในพื้นที่ต่าง ๆ จำนวนมาก ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ยังประสบกับปัญหาน้ำประปาเค็ม อันเนื่องมาจากฝนทิ้งช่วงหรือมีปริมาณฝนที่น้อย อีกทั้งยังมีน้ำทะเลหนุนสูง จึงเป็นผลให้น้ำทะเลไหลไปเจือปนกับแหล่งน้ำดิบที่ใช้ผลิตน้ำประปา ดังนั้น สภาวิศวกร ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพวิศวกรรม และการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาสังคมในหลากมิติ จึงขอเสนอ 4 แนวทางโดยอิงหลักวิศวกรรมศาสตร์ ดังต่อไปนี้

  1. เปลี่ยนตำแหน่งสถานีสูบน้ำดิบ ของการประปานครหลวง (กปน.) จ. ปทุมธานี อาจใกล้ปลายน้ำมากไป แม้ในอดีตถือว่า เป็นตำแหน่งที่คิดว่า น้ำทะเลคงหนุนไม่ถึง แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติรุนแรง กปน.อาจต้องย้ายสถานีสูบน้ำดิบ ขึ้นเหนือไปอีก ที่น้ำทะเลหนุนไม่ถึง ด้วยเทคโนโลยีระบบท่อและอุโมงค์ จะไม่เป็นปัญหา เพราะในต่างประเทศ หรือแม้แต่การประปาภูมิภาคของไทย ก็สามารถลำเลียงน้ำดิบมาผลิตน้ำประปาได้ในระยะทางไกล
  2. จัดหาแหล่งน้ำดิบสำรอง อาจเป็นบ่อน้ำจืดขนาดใหญ่ หรือขนาดย่อมหลายพื้นที่ เช่น เหนือเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีแหล่งน้ำธรรมชาติค่อนข้างสมบูรณ์ ไว้ใช้ทำน้ำประปา ในช่วงน้ำทะเลหนุน
  3. ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลการปล่อยน้ำระหว่างหน่วยงาน โดยการปรับระบบการปล่อยน้ำเหนือของกรมชลประทาน ต้องมีการวางแผนและวิธีการปล่อยน้ำลงมาในช่วงจังหวะที่เหมาะสม

ปรับการบริหารจัดการเปิด-ปิดประตูน้ำ ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ น้ำเค็มหนุนก็ต้องปิด น้ำลงก็เปิด ซึ่งต้องเชื่อมโยงข้อมูลกับการขนส่งทางเรือ ทางคลอง และทางแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงต้องพิจารณาปัจจัยของน้ำฝน เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปได้อย่างบูรณาการ